ผู้อ่านน่าจะได้ทราบมุมมองการลงทุนปี 2018 จากทีม Investment Committee ของ FINNOMENA กันไปแล้วนะครับ ใครยังไม่ได้อ่าน สามารถไปตามอ่านได้ที่ https://www.finnomena.com/infiniti-global-investors/outlook-2018-playing-extra-time/ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในทีมงานที่ประชุมกัน และย่อยออกมาจนเชื่อว่า นี่คือ มุมมองการลงทุนที่นักลงทุนทุกคนต้องอ่านก่อนจะไปต่อสู้กันต่อในปีหน้า
หนึ่งในคำถามที่เรามักจะโดนถาม และอยู่ในบทความครั้งนี้ด้วยก็คือ SET Index ซึ่งเป็นตัวแทนของดัชนีหุ้นไทย จะสามารถวิ่งไปได้ถึงจุดไหน?
วิธีการหาเป้าหมาย ก็สามารถหาได้หลายวิธี แต่วิธีที่ผมชอบใช้ก็คือ การดูที่ Earnings Yield Gap หรือ EYG
EYG หาจาก อัตราผลตอบแทนของหุ้น ลบด้วย อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้
อัตราผลตอบแทนของหุ้น เราใช้ ส่วนกลับของ P/E Ratio ของ SET Index
อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ เราใช้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี
สมมติ
ถ้าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นคือ 6% และในตราสารหนี้คือ 4%
EYG = 6% – 4% = 2%
แสดงว่า การลงทุนในหุ้น มีความน่าสนใจมากกว่าตราสารหนี้อยู่ 2%
ส่วน 2% นี้ เพียงพอที่นักลงทุนจะไปเสี่ยงลงทุนในหุ้นหรือไม่
อันนี้ขึ้นอยู่กับความเห็นของแต่ละบุคคลครับ
แต่ในอดีตค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังของ EYG อยู่ที่ 2.61% เราก็สามารถใช้ตัวเลขนี้เป็นมาตรวัดได้ว่า ต่ำกว่านี้ การลงทุนในหุ้นอาจไม่น่าสนใจแล้ว
หรือ ถ้าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นคือ 4% และในตราสารหนี้คือ 4%
EYG = 4% – 4% = 0%
ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่า ทั้งคู่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่เท่ากัน
นักลงทุนที่มีเหตุผลก็ควรเลือกลงทุนในตราสารหนี้ เพราะความเสี่ยงต่ำกว่า
มาดูปัจจุบัน
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นคือ 6% และในตราสารหนี้คือ 4%
EYG = 5.85% – 2.36% = 3.49%
ตรงนี้ถือว่าถูกหรือแพง?
เรากลับไปย้อนดูอดีต จากที่บอกเมื่อกี้ว่า ค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังของ EYG อยู่ที่ 2.61%
แปลว่า ระดับ EYG ณ ปัจจุบัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต การที่ EYG จะลดลงได้ มีอยู่ 2 กรณี คือ
- ดัชนีปรับตัวขึ้นเร็วว่าการเติบโตของกำไร
- อัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น
ในมุมที่ว่า อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะเพิ่มขึ้นในปีหน้าหรือไม่ ประเด็นนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก ผมมีความเห็นว่า แบงก์ชาติน่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแต่อย่างใด ดังนั้น ถ้า EYG จะลดลงมาได้ น่าจะมาจากเหตุผลที่ว่า ตลาดหุ้นไทย น่าจะมี Upside ในปีหน้าได้อีก
สมมติว่า
อัตราดอกเบี้ยไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
EPS ของตลาดโตได้มากกว่าปีนี้ซัก 10%
และมีความเชื่อว่า EYG น่าจะอยู่ที่เดิมไม่เพิ่มไม่ลด ที่ระดับ 3.49% นี่ละ
SET Index จะสามารถวิ่งขึ้นไปได้ถึง 1,934.87 จุด จากระดับปัจจุบัน หรือ Upside ประมาณ 13%
กรณีที่ 2
อัตราดอกเบี้ยไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
EPS ของตลาดโตได้มากกว่าปีนี้ซัก 10%
และมีความเชื่อว่า EYG น่าจะลดลงไปที่ระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 2.61%
SET Index จะสามารถวิ่งขึ้นไปได้ถึง 2,277.49 จุด จากระดับปัจจุบัน หรือ Upside ประมาณ 33%
กรณีที่ 3
อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นซัก 50bps (แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง)
EPS ของตลาดโตได้มากกว่าปีนี้ซัก 10%
และมีความเชื่อว่า EYG น่าจะอยู่ที่เดิมไม่เพิ่มไม่ลด ที่ระดับ 3.49%
SET Index จะสามารถวิ่งขึ้นไปได้ถึง 1,782.52 จุด จากระดับปัจจุบัน หรือ Upside ประมาณ 4%
ประมาณการเป้าหมาย SET Index ตาม Earning Yield Gap (EYG), ที่มา : Bloomberg, INFINITI
สรุปว่า ถ้าดูเฉพาะ ปัจจัยคือ อัตราดอกเบี้ยในตลาด กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน เราจะได้กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในปีหน้า อยู่ที่ 1,782.52 จุด – 2,277.49 จุด ซึ่งยังไม่ได้รวมถึงความเสี่ยงหรือปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องนะครับ
คำเตือน
• การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
• ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินในอนาคต
• การนำเสนอข้อมูลข้างต้น มิใช่การให้คำแนะนำการลงทุน
• การลงทุนใดๆ ต้องเกิดจากการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจลงทุน บนความเสี่ยงที่รับได้ของนักลงทุนเอง
• ทางผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิ์ ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียในทุกกรณีที่อาจเกิดขึ้นจากการให้ข้อมูลข้างต้น
พิเศษ
หากท่านสนใจเปิดบัญชีลงทุนเพื่อรับคำแนะนำลงทุนจริง กรุณากรอกรายละเอียดสั้น ๆ ได้ ที่ www.finnomena.com/nter-exclusive-club เพื่อรับบริการพิเศษจากเรา (จำนวนจำกัด)