จนถึงวันที่ผมเขียนบทความอยู่ตอนนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทะลุ 1.2 ล้านรายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย 5 อันดับแรกของประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากสุด คือ สหรัฐฯ (312,000 ราย), สเปน (130,000 ราย), อิตาลี (1240,000 ราย), เยอรมัน (97,000 ราย) และ ฝรั่งเศส (90,000 ราย)
ใครที่นึกถึงภาพว่า วิกฤตครั้งนี้ น่าจะไม่ต่างจากตอนโรคระบาดในรอบก่อน ๆ ไม่ว่าจะ SARS หรือ MERS ก็ต้องบอกว่า “ขอให้คิดใหม่” ได้แล้วครับ
จากสถานการณ์ล่าสุด ผมแทบจะสามารถฟันธงได้เลยว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 90 ปี เข้าใจว่า ยังมีหลายคนตั้งคำถามกันอยู่เลยว่า เราจำเป็นต้อง Lockdown และทำ Social Distancing แบบนี้ และทำให้เศรษฐกิจมันมีปัญหาหนักขึ้นจริง ๆ หรือ?
คำตอบก็คือ มันน่ากลัวจริง ๆ ครับ
เจ้า Covid-19 หรือ ก่อนหน้านี้เราเรียกมันว่า โคโรนาไวรัสสายพันธุ์นี้ มีความน่ากลัวคือ มนุุษย์ยังไม่มีทั้งยารักษา และภูมิต้านทานกับมัน และตัวไวรัสชนิดนี้ ก็ติดตามแกะรอยได้ยากกว่าไวรัสซาร์ส (SARS) เพราะ SARS นั้น พอติดเชื้อปั๊บก็แสดงอาการทันที ทำให้ผู้ป่วยไปแพร่ให้ผู้อื่นได้ยากกว่า
จากสถิติที่เราเห็นจนถึงปัจจุบัน Covid-19 ผู้ติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตเพียง 2% และกว่าจะแสดงอาการก็ฝั่งตัวในโฮสต์ถึง 14 วันไปแล้ว ทำให้ชัดเจนว่า เราจะอยู่กับ Covid-19 ไปอีกระยะเวลาหนึ่งเลย และมีความเป็นไปได้ว่า จะกลับมาหาเราทุก ๆ ปีเหมือนไข้หวัดใหญ่
แต่ความน่ากลัวของ Covid-19 เมื่อเทียบกับไข้หวัดใหญ่ก็คือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐฯ นั้นอยู่ที่ 34,000-61,000 รายต่อปี ขณะที่มีผู้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ประมาณ 35-45 ล้านคนต่อปี นั่นเท่ากับอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 0.1% เพียงเท่านั้น เราเลยรับได้และอยู่กับมันได้
กับ Covid-19 นั้นต่างกัน เพราะอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 2% แปลว่า หากติดเชื้อปีละ 35 ล้านคน จะมีผู้เสียชีวิตปีละ 700,000 คน และนี่เฉพาะสหรัฐฯ เท่านั้นนะครับ และยิ่งมันระบาดและอยู่กับเรานานขึ้น ความเสี่ยงที่มันจะเริ่มกลายพันธุ์ก็จะมีมากขึ้น เพราะธรรมชาติของมัน ย่อมต้องการดิ้นรนหนีจากภัยคุกคามตัวมันเอง เช่นเดียวกับมนุษย์อย่างเรา ๆ
จุดที่รัฐบาลทั่วโลกต้องหาพยายามแก้ในวิกฤตครั้งนี้ให้ได้ก็คือ จำนวนผู้ติดเชื้อหากพุ่งสูงขึ้นมากเกินไป จะเลยขีดความสามารถและศักยภาพของระบบสาธารณสุขของประเทศ ดังที่เกิดขึ้นกับกลุ่มประเทศในยุโรปบางแห่ง หรือ ประเทศอิหร่าน ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุด เพราะไม่มี Capacity ที่จะรับจำนวนผู้ป่วยได้ครั้งละมาก ๆ
เห็นปัญหาไหมครับ?
ถ้าปล่อยให้ระบาด ความพร้อมไม่มี ผู้เสียชีวิตจะมากกว่าที่เราเห็นตอนนี้
ถ้าให้สังคมห่างกัน ป้องกันการแพร่ระบาด ไวรัสโคโรน่า ก็จะอยู่กับเรายาวนานขึ้นไปอีก
และเหมือนจะเป็นประชามติจากผู้นำแทบทั้งโลกนะครับ ว่าเราจะทำให้สังคมห่างกัน ดังนั้น เราจะอยู่กับปัญหานี้ ยาวนานขึ้นอย่างแน่นอนแล้ว เพราะ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดในสหรัฐฯ มีการรายงานให้ทำเนียบขาวทราบว่า กว่าจะผลิตวัคซีนออกมาได้น่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 16 เดือน
นี่เป็นตอนที่สองแล้วที่ผมเขียนให้เห็นถึงความสำคัญที่เราทุกคนต้องตระหนักและตั้งรับให้ดีในวิกฤตนี้นะครับ
สุขภาพร่างกายเราต้องดูแลดีขึ้น และสุขภาพการเงิน เราควรทำอย่างไร?
เมื่อ Covid-19 คือ สงครามที่ท้าทายความคงอยู่ของมนุษยชาติ มาตรการต่าง ๆ จากภาครัฐฯ ที่เราเห็นออกกันมาในรอบ 1 เดือน ไม่ว่าจะจากชาติไหน ผมเชื่อว่า อีก 6 เดือนหลังจากนี้ ขนาดของมาตรการจะใหญ่กว่ามาก ซึ่งจะทำให้ รัฐบาลต้องใช้วงเงินกู้ในสัดส่วนที่สูงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับ GDP และอาจมากขึ้นไปอีก เพราะรูปแบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบที่เรารู้จักกันมาเมื่อเดือน ก.พ. นี่เอง กำลังจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป
ในด้านของการวางแผนการเงิน วิกฤตครั้งนี้ มันทำให้เราไม่มีทางเลือกครับ
เราไม่สามารถฝากเงินในธนาคารเฉยๆ
เราไม่สามารถอยู่ในการลงทุนเสี่ยงต่ำไปเรื่อย ๆ ได้ตลอดเวลา
เพราะอายุขัยเราจะยืนยาวขึ้น รายได้เราอาจจะลดลง หรือหยุดชะงักในบางช่วง
และที่สำคัญ เราคงพึ่งพาการช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ได้
ใครที่วางแผนลงทุนเพื่อใช้หลังเกษียณ หรือ ตอนนี้เกษียณเป็นที่เรียบร้อยแล้วสิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องกลับมาทบทวนแผนด้านรายจ่าย และปรับลดมันลงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อน พร้อมกับ ไม่มีทางเลือกอื่น ที่จะต้องเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน เพราะหลังจากนี้ ดอกเบี้ยจะต่ำแบบนี้ไปอีก 3-5 ปี เป็นอย่างน้อย
ผลตอบแทนต่ำ แต่ยังใช้จ่ายเยอะ สุดท้าย ก็กินทุนให้ลดลงเรื่อย ๆ Covid-19 ทำให้เราต้องปรับตัวด้านการวางแผนการเงินด้วยนะครับทุกคน
Mr.Messenger