เพราะบริหารเมืองได้ดี จึงได้รับความไว้วางใจ?
Rodrigo Duterte (Photo by Edwin Tuyay)
ไม่ใช่แค่ผลงานตลอด 22 ปีที่ผ่านมากับเมืองดาเวาเพียงอย่างเดียว แต่ลีลา และนโยบายการหาเสียงของเขาก็สร้างความแตกต่างให้กับการเมือง (ไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่เป็นระดับโลกเลย) ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงหาเสียง เขาบอกว่า “ประธานาธิบดีต้องไม่มีการโกหกหลอกลวงหรือบิดเบือนความจริง สำหรับผมแล้ว… ประชาชนต้องรู้ความจริง” มากกว่านั้น ลีลาการหาเสียงของเขา เต็มไปด้วย คำสาบาน คำหยาบ และมีการให้คำมั่นสัญญา ซึ่งได้ใจประชาชนชาวฟิลิปปินส์จำนวนไม่น้อย
ก่อนการเลือกตั้งนี่ คำสัมภาษณ์ของเขากับสื่อนี่ แสดงถึงนิสัยชัดเจนว่าเลย คือ เขาไปแซวมิชชันนารีหญิง ที่เป็นชาวออสเตรเลียที่ถูกข่มขืนและฆาตรกรรมตอนที่เกิดเหตุจลาจลในคุกปี 1989 ว่า เธอสวย และเคยคิดว่า ตัวเองอยากจะเป็นคนแรกที่ได้ข่มขืน!! คำสัมภาษณ์นี้ละครับ ที่เป็นเหตุให้กลุ่มโบสถ์คาทอลิก และกลุ่มสิทธิสตรีออกมาประท้วงกัน แต่เปล่าเลย คะแนนกลับพุ่งขึ้น จนทำให้เขาหลุดความจริงอีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ เขายอมรับว่ามีภรรยาน้อยของตัวเองไม่ต่ำกว่า 2 คน (- -“)
ความเป็นนักเลงและคนจริง อยู่ในตัวผู้ชายคนนี้มากมาย เรืองดีๆก็มีนะครับ ยกตัวอย่างอีกเรื่องให้เห็นภาพชัดขึ้นก็คือ ดูเตอร์เต้ปฏิเสธไม่ยอมรับรางวัลเกียรติยศมากมายที่นานาชาติเสนอให้ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา มีสื่อเคยถามเขาว่า ทำไมไม่รับ คำตอบก็คือ “ผมแค่ทำตามหน้าที่ตามที่ตัวเองสมควรทำเพื่อประชาชน” #หง่อวววววววว
ประเด็นที่น่ากังวลเกิดขึ้น
หลังได้รับชัยชนะ สิ่งที่ทุกฝ่ายมีความกังวล นอกจากท่าทีและความเป็นนักเลงของเขาก็คือ ด้านนโยบายต่างประเทศ โดยเมื่อเดือน ต.ค. ดูเตอร์เตประกาศตัดความสัมพันธ์ทางทหารและเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ และหันไปเข้าร่วมมือกับประเทศจีนแทน แถมล่าสุด เขาได้ออกคำสั่งยกเลิกการซื้อปืนไรเฟิลตำรวจจากสหรัฐอเมริกา หลังจากเมื่อเดือน ต.ค. ทางสหรัฐฯ ระบุว่า จะมีการระงับการขายปืนให้ฟิลิปปินส์ เพราะกังวลเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะนโยบายการปราบปรามยาเสพติดแบบ Hardcore ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 3,600 คน ทั้งๆที่เพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา และดูแนวโน้มแล้ว ดูเตอร์เต อาจหันไปพัฒนาความสัมพันธ์กับอริสำคัญของสหรัฐฯที่ชื่อว่ารัสเซีย
นโยบายกลับทิศ ความไม่แน่นอนก็สูงขึ้น
อ้างอิงจากมุมมองของ อาจารย์ ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการ Institute of Security and International Studies ท่านได้มีความเห็นว่า ฟิลิปปินส์และไทยเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯมายาวนานตามสนธิสัญญาที่ทำกันไว้ แต่เวลานี้ทั้ง 2 ประเทศมีความระหองระแหงกับอเมริกา ซึ่งอาจจะเป็นจุดพลิกอย่างสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนในภูมิภาคก็ได้
เหตุการณ์ที่พัฒนาขึ้นเหล่านี้ อาจจะทำให้ทางสหรัฐฯพิจารณาปรับนโยบายในระดับภูมิภาคใหม่ ในขณะที่จีนจะเข้ามาเพิ่มอิทธิพลในประเทศแถบนี้เพิ่มขึ้น ทั้ง กัมพูชา ลาว เมียนม่าร์ และ ไทย
โดยอาจารย์ฐิตินันท์ สรุปว่า ทั้งหมดนี้ไม่เป็นผลดีต่ออาเซียน เพราะอาเซียนต้องการสมดุลระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง โดยไม่ต้องการเอียงเข้าข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป
ทางด้านอาจารย์ Nicolas Thomas จาก City University of Hong Kong กล่าวว่า คำแถลงตัดความสัมพันธ์ทางทหารและเศรษฐกิจกับสหรัฐฯของฟิลิปปินส์ในครั้งนี้เป็นชัยชนะของจีน และเปิดโอกาสให้จีนผนึกกำลังในเอเชียให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น … โดยแนะนำให้ดูต่อไปว่า ทิศทางขาขึ้นของอำนาจจีนจะมีแรงส่งต่อมากน้อยเพียงใด
แล้วคนลงทุน มองเรื่องนี้ยังไง?
- ธุรกิจข้ามชาติจากสหรัฐฯที่อยู่ในฟิลิปปินส์ก็มีไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ ก็เป็นการลงทุนจากเกาหลีใต้และอังกฤษ ซึ่งก็ถือว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐฯ มองแค่มุมนี้ สมมติว่า คุณเป็นนักลงทุนต่างชาติ และเจอท่าทีของผู้นำประเทศแบบนี้ คุณจะยังอยู่ในประเทศเขาอย่างสบายใจไหม?
- ความไม่แน่นอนในเชิงนโยบายเกิดขึ้นทันที ซึ่งอาจมีการพัฒนาขึ้นเป็นความขัดแย้งในระดับภูมิภาคก็ได้ หากสหรัฐฯเองก็มีท่าทีที่แข็งกร้าวโต้ตอบกลับมา
รูปที่ 3 : ตลาดหุ้นกลุ่ม TIP (Thailand, Indonesia และ Philippines)
ที่มา : BISNEWS
จากกราฟด้านบน จะเห็นว่า ตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ซึ่งประกอบไปด้วย Thailand, Indonesia และ Philippines นั้น ในภาพระยะยาว มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างสูง เพราะนักลงทุนต่างชาติเทียบเรา 3 ประเทศเป็น 1 ตลาด เนื่องจากขนาด Market Cap. ที่ไม่ใหญ่ รองรับเม็ดเงินลงทุนต่างชาติได้ไม่มาก แต่หากมองรวมกันก็ทำให้สามารถกระจายการลงทุนได้มากขึ้น
ตลาดหุ้นทั้ง 3 ตลาด ทำจุดสูงสุดของปีนี้ในช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค. และมีการปรับฐานตามมาหลังจากนั้น กลางเดือน ต.ค. ตลาดหุ้นไทยปรับฐานหนัก อีก 2 ตลาด ก็ปรับฐานตามเราด้วยแต่ไม่มากเท่า แต่หากดูจนถึงตอนนี้ จะเห็นว่า ดัชนี PSE Composite ของฟิลิปปินส์นั้นเคลื่อนไหว Underperform อีก 2 ตลาดพอสมควร ซึ่งก็เป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ของเขากับสหรัฐฯเปราะบาง จนใกล้จะถึงจุดวิกฤตอย่างที่ไม่เคยมีมากก่อน
ในมุมมองของเศรษฐกิจจริง GDP Growth นั้น ฟิลิปปินส์ถือเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูงที่สุดในเอเชีย โดยคาดว่า จะโต 6% ปีนี้ และ 6.2% ปีหน้า และมุมมองของ Goldman Sachs ก็มองว่า ประเทศในเอเชียเนี่ย ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ถือเป็นประเทศที่น่า Overweight มากที่สุด 1 ใน 3 เลย (อีก 2 ตลาดคือ ไต้หวัน และ อินเดีย) ในขณะที่ให้เป้าหมาย SET Index ของไทยอยู่ที่ 1,480 จุด ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GS มอง การลงทุนหุ้นไทยตอนนี้ไม่มี Upside จาก Capital Gain
เหตุการณ์นี้ บอกอะไรเราในอนาคต?
นี่แค่ประเทศขนาดกลางๆ ไม่ได้ใหญ่มาก ก็จะเห็นว่า สามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อพลวัตรของเศรษฐกิจโลกได้ในระดับที่ทุกฝ่ายต้องเตรียมแผนการรับมือ และคืนวันนี้ ที่สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิปดี ซึ่งหนึ่งในผู้สมัครจาก Republican อย่างโดนัล ทรัมป์ นั้น ดูๆไป ก็มีอุปนิสัย และความดุดันในระดับใกล้เคียงกับดูเตอร์เต้พอสมควร บวกกับนโยบายที่น่าจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจโลกหลายข้อ เลยทำให้นักวิเคราะห์ทั้งหลายกังวลกันเหลือเกินว่า ฟิลิปปินส์โมเดล จะเกิดกับตลาดหุ้นโลกหรือเปล่า ถ้าสหรัฐฯได้ผู้นำคนใหม่ที่ชื่อ “ทรัมป์”
กลับมามองย้อนดูตัวเราเอง หากเราเลือกที่จะออกจากดุลยภาพเดิม เข้าคบหามหาอำนาจในอีกขั้วหนึ่งจริงๆ ก็ต้องคิดให้หนัก คิดให้รอบคอบเลย
สำหรับนักลงทุนที่จัดพอร์ตการลงทุนแบบ Global Asset Allocation ก็น่าจะเห็นความสำคัญของการวิเคราะห์การเมืองโลกจากกรณีนี้ไม่มากก็น้อยว่า มันมีผลกระทบต่อมุมมองของเราในการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สุดท้าย ณ ตอนนี้ Bloomberg Poll บอกว่า ฮิลลารี คลินตัน คะแนนนำทรัมป์ อยู่ 44% ต่อ 41% ถ้าไม่พลิกโผละก็ อุณหภูมิการเมืองของโลก ก็ยังน่าจะอยู่ในระดับที่เราพอทนได้ พอรับมือไหว แต่ถ้าผลเลือกตั้งกลับข้างเมื่อไหร่ ก็ดูตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เป็นตัวอย่างได้เลยครับ ว่า มันอาจจะเกิดขึ้นกับโลกก็ได้ … ใครจะไปรู้
แหล่งที่มาข้อมูล :-
https://th.wikipedia.org
http://www.voathai.com/a/philippines-asean-nm/3566520.html
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000107299
http://www.posttoday.com/world/news/461054
http://www.philstar.com/business/2016/05/04/1579478/imf-outlook-2016-philippine-growth-seen-fastest-asean