ล่าสุด บนยอดปิรามิดของระบบทุนนิยมโลก มีการเปลี่ยนแปลงอันดับเกิดขึ้น นั้นก็คือ อภิมหาเศรษฐีผู้ที่รวยที่สุดในโลกเปลี่ยนตำแหน่ง จาก Bill Gate กลายเป็น Jeff Bezos
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง มาจากการพุ่งขึ้นของหุ้น Amazon เมื่อคืน หลังรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3Q2017 ออกมา มีกำไร $0.52 ต่อหุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ $0.03 ต่อหุ้นเท่านั้น ยอดขายใน พุ่งขึ้น 34% แตะระดับ 4.37 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้หุ้น Amazon ในดัชนี NASDAQ ทะยานพุ่งขึ้นปิดบวกเหนือ $1,100 เป็นครั้งแรก เป็นการบวกวันเดียวมากกว่า 13%
การที่ราคาหุ้น Amazon พุ่งขึ้น ก็ทำให้ความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) ของ Jeff Bezos ในฐานะผู้ก่อตั้ง และเจ้าของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นด้วย
ล่าสุด Net Worth ของ Jeff Bezos อยู่ที่ $93.8 billion แซง Bill Gates เจ้าของ Microsoft ซึ่งอยู่ที่ $88.7 billion ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกเรียบร้อย และอันดับ 3 คือ Warren Buffett อยู่ที่ $80.7 Billion
การปรับตัวขึ้นมาของหุ้น Amazon รอบนี้ ปู่บัฟเฟตไม่ได้รับอานิสงส์ด้วย เพราะไม่ได้ซื้อหุ้น Amazon เข้าไปไว้ในพอร์ตของ Berkshire
โดยปู่บัฟเฟตมายอมรับในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อกลางปี 2017 ว่า เขาโง่เกินไป ที่ไม่เคยสนใจหุ้น Amazon เลย ไม่คิดว่า Amazon จะลงมาทำธุรกิจ Cloud Computing แล้วจะประสบความสำเร็จอย่างสูงขนาดนี้ ซึ่งถือเป็นการประเมินความสามารถของ Amazon ที่ผิดพลาด
ย้อนไปดูประวัติคร่าวๆ ของ Jeff Bezos กัน
Jeff Bezos มีชะตากรรมในวัยเด็กคล้ายๆกับท่านศาสดา Steve Jobs คือ พออายุได้ 4 ขวบ มีเพื่อนของพ่อแม่ที่แท้จริงรับไปเป็นบุตรบุญธรรม เพราะแม่คลอดเขาเมื่ออายุเพียง 17 ปี ไม่พร้อมที่จะเลี้ยงลูกชาย และพ่อที่แท้จริงของเขา เพิ่งจะรู้ว่าลูกของตัวเองคืออภิมหาเศรษฐีของโลกเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในวัยเรียน Jeff Bezos เลือกเรียนด้านวิศวะคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้น ก็เริ่มทำงานแรกในวงการตลาดหุ้นที่ Wall Street แต่ทำได้ 4 ปีก็ออกมาเปิดบริษัทชื่อ Cadabra ในปี 1994 ซึ่งชื่อ Cadabra คือ ชื่อแรกก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Amazon ในปีต่อมา
Jeff เปิดเผยในภายหลังว่า ได้ไอเดียตั้งบริษัทฯระหว่างขับรถข้ามรัฐฯ จากนิวยอร์ค ไป ซีแอตเทิล ซึ่งมีระยะทางมากกว่า 2,800 ไมล์ หรือประมาณ 4,500 กิโล ระหว่างที่ขับรถ ก็เกิดเห็นโอกาสทางธุรกิจบนโลก Internet ขึ้นมา
ในช่วงแรก บริษัทมีจุดยืนคือ ร้านขายหนังสือมือสองออนไลน์ แต่พอเห็นเทรนใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น มองเห็นศักยภาพของบริษัทตัวเองเพิ่มขึ้น ก็ได้เป้าหมายใหม่ว่า Amazon.com ควรเป็นเว็บไซต์ที่สามารถขายอะไรก็ได้บนโลก ไม่ใช่เพียงหนังสือ ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ ก็ยิ่งทำให้บริษัทโตอย่างก้าวกระโดด โดยหลังเปิด Amazon.comได้ 2 ปี ก็ระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ทำให้เป็น Tech Giant Company อย่างทุกวันนี้
พัฒนาการที่น่าสนใจของ Amazon ก็มีตามนี้ครับ
2000
ก่อตั้ง Blue Origin ขึ้น โดยยังไม่เปิดเผยว่ามีเป้าหมายใด
2006
ระบบ Cloud Computing ชื่อ Amazon Web Service ที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าไปเรียกดูข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ได้ตลอดเวลา
2007
ผลิตอุปกรณ์ Tablet ที่ชื่อว่า Kindle ไว้สำหรับอ่านหนังสือแบบออนไลน์ หรืออีบุ๊ค
2009
เข้าซื้อกิจการ E-Commerce ชื่อ Zappos.com ซึ่งเป็นเว็ปไซส์ขายรองเท้าเจ้าใหญ่ในอเมริกา
2012
เข้าซื้อกิจการผลิตหุ่นยนต์ที่ใช้ชื่อ “Kiva Systems” ด้วยมูลค่าราวๆ 780 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเปลี่ยนชื่อมาเป็น “Amazon Robotics” ซึ่งพวกหุ่นยนต์ตัวเล็กๆที่ใช้ใน Warehouse ของบริษัท ก็ผลิตจากบริษัทนี้เอง
2013
เขาได้ตัดสินใจครั้งใหญ่อีกหนึ่งครั้ง นั่นก็คือการประกาศซื้อกิจการ สำนักพิมพ์วอชิงตันโพสต์ (Washington Post) ด้วยเงินสดจำนวน 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพราะบอกว่า มันจะทำให้เขารับรู้ข่าวสารด้านธุรกิจที่เกิดขึ้นรอบโลกก่อนใคร
2014
ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ Twitch.tv เป็นธุรกิจ Live Streaming Video ด้วยมูลค่า 970 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เม.ย. 2017
Blue Origin มีเป้าหมายที่จะส่งผู้โดยสารขึ้นไปในอวกาศเป็นเวลา 11 นาที โดยตั้งเป้าว่าจะเริ่มทดสอบปล่อยกระสวยอวกาศลำแรกได้ในปีนี้ และเริ่มให้บริการจริงๆ ในปีหน้า
มิ.ย. 2017
ประกาศซื้อกิจการของ “Whole Foods” ซูเปอร์มาเก็ตออแกนิตชื่อดังของสหรัฐฯ เป็นจำนวน 13,700 ล้านดอลลาร์
สิ่งที่ผมเห็นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และตัวบริษัท Amazon ก็คือ
1. โลกเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเกิดขึ้นของเทคโนโลยี จะยิ่งทำให้โลกหมุนเร็วกว่าที่เห็นวันนี้มากขึ้นไปอีก
2. นักลงทุนเอง ต่อให้เก่งขนาดไหน ก็อาจจะเจอ Blind spot ดูอย่างกรณีปู่บัฟเฟต ที่ไม่สนใจลงทุนใน Google / Amazon ในช่วงเริ่มต้น เป็นตัวอย่าง
3. ปู่บัฟเฟตที่บอกว่าประเมินศักยภาพของ Cloud Computing ผิดพลาด แท้จริง ณ ตอนนี้ ปู่เองก็อาจจะผิดพลาดในการมอง Amazon ในภาพรวม ใครจะรู้ Blue Origin อาจเป็นเปลี่ยนโลกการขนส่งในอนาคต และทำเงินมหาศากว่าธุรกิจอื่นๆของ Jeff ก็ได้
แต่ก็นั่นหล่ะครับ ถ้ากลับไปถามเหล่าผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ ว่า คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า เขาเหล่านั้นก็มีเพียงความฝันที่จะพิชิตให้ได้ ดูอย่างวันแรกที่ Jeff ก่อตั้งบริษัท กับอาณาจักรวันนี้ของเขาสิ มาไกลกว่าไอเดียวันที่ขับรถข้ามประเทศเยอะเลย
4. ฝันให้ใหญ่ และค่อยๆไปทีละก้าว…
Mr.Messenger รายงาน
ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/SinthornCafe/photos/a.192953590925.167621.192435205925/10155609057650926