ตลาดหุ้นจีน เป็นอีกแห่งหนึ่งที่พานักลงทุนไทยค้างเติ่งอยู่ข้างบนจำนวนไม่น้อย คำถามคาใจคือ แล้วมันจะกลับมาได้ไหม? ถือไปมีอนาคตหรือเปล่า? ถ้าอนาคตยังมี ควรถัวที่ระดับราคาใด?
ผมมองว่า การจะอ่านอนาคตให้ออก เราควรทำความเข้าใจอดีตให้ดียิ่งขึ้น ดังที่ท่านจะได้อ่านจากบทความอันนี้ครับ
ก.ย. 2014 ตลาดหุ้นจีน ทะลุขึ้นจากกรอบ Downtrend Channel ได้ในเดือน ก.ย. ปี 2014 (ตามรูปด้านล่าง) ในตอนนั้น เริ่มมี Research Paper ออกมาบอกว่า ตลาดหุ้นจีน เิร่มมี Valuation ที่น่าสนใจ และนโยบายจากฟากรัฐฯเริ่มมาให้ความสนใจในตลาดทุนมากขึ้น ตอนนั้น ตลาดหุ้นจีนอย่าง Shanghai Composite ก็ขึ้นเงียบๆ จาก 2,000 จุด กลางปี ขึ้นมาที่ 2,400 จุด ปลายปี 2014
ต.ค. 2014 เริ่มมีข่าว เรื่องการเริ่มเปิดเสรีการซื้อขายหลักทรัพย์ไปมาระหว่างกันระหว่าง A-Share และ H-Share ที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ทำให้นักลงทุนเริ่มสนใจไปลงทุนใน Hang Seng China Enterprise Index (HSCEI) หรือ H Share แทน เพราะมี Valuation ที่ถูกกว่า และเชื่อกันว่า จะมีเม็ดเงินไหลจากแผ่นดินใหญ่ วิ่งไปที่ H Share แทน
พ.ย. 2014 ความหวังที่ตลาดหุ้นจีนจะยังมี Upside ที่สูงขึ้นไปอีก เริ่มมีเพิ่มขึ้น หลังธนาคารกลางจีน (PBOC) จัดการลดดอกเบี้ยนโยบายลง 40 bps ถึงตรงนี้ นักลงทุนเริ่มเห็นแล้วครับว่า รัฐบาลจีน อยากกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจชัดเจน หลังปล่อยให้เป็น Soft Landing มา 5 ปีเต็ม จบเดือน พ.ย. ตลาดหุ้นจีนวิ่งขึ้นไปที่ 3,100 จุด ใช้เวลาเดือนเดียวบวกไป 30%
ธ.ค. 2014 นักวิเคราะห์เริ่มออกบทวิเคราะห์ความน่าสนใจของหุ้นจีน ผมก็ได้เขียนเรื่องจีนเอาไว้ในตอนนั้น ใช้ชื่อเรื่องว่า 4 เหตุผล ที่ Mr.Messenger กัดฟันลงทุนใน “จีน” ขณะที่ PBOC เปลี่ยนกฎเรื่องการกันสำรองของธนาคารให้ผ่อนคลายมากขึ้น เอื้อให้เหล่าธนาคารปล่อยกู้ง่ายขึ้น ตลาดหุ้นก็ยิ่งบวกเป็นบวกมากขึ้นทันที
ม.ค. 2015 ตลาดหุ้นจีน เจอการปรับฐานครั้งแรก ปรับฐานครั้งนั้น จากจุดสูงสุด ลงมาร่วมๆ 8% หลัง กลต. จีน ออกมาเตือนว่า บัญชี Margin Trade (กู้มาลงทุน) ที่ลงทุนในตลาดหุ้น ณ ขณะนั้น มีขนาดการทำธุรกิจที่สูงเกินไป เป็นความเสี่ยงของระบบ แล้วจีนก็ประกาศตัวเลข GDP 4Q2014 ออกมาที่ 7.3% ทุกคนในโลกนี้ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “จีนกลับมาแล้ววววว”
ก.พ. 2015 ธนาคารกลางจีน ยังคงดุดันในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ่งที่ทำก็คือ ลด Reserve Requirement Ratio (RRR) ต่อเนื่องอีก 50bps ผ่านไปซักพัก ปลายเดือน ก.พ. จีนก็ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายอีกหนึ่งรอบ 25bps ผมก็เขียนบทความเรื่อง มุมมองต่อการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของ “จีน” โดยสรุปตอนนั้น ผมยังมองว่า จีนน่าจะอัดทุกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เลยมองว่า ยังมี Upside ในตลาดหุ้นจีนเหลืออีก A Share ตอนนั้น ยังอยู่แถวๆ 3,100 จุด
มี.ค. 2015 ตลาด หลังจากที่ได้ข่าวดีทั้งเรื่อง GDP 4Q2015 และการลด RRR + ลดดอกเบี้ย ตลาดก็ลืมเรื่องว่า สถานการณ์ตอนนั้น Margin Trade มีมูลค่าสูงขึ้นมากเพียงใด ตลาดหุ้นก็วิ่งไปเรื่อยๆ จนมีอีกข่าวที่น่ากังวลต่อเสถียรภาพตลาดหุ้นในระยะยาว นั้นก็คือ ผลการสำรวจนักลงทุนในตลาดหุ้นจีน พบว่า เป็นนักลงทุนที่ยังไม่จบมัธยมเกินกว่าครึ่งหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์การลงทุนที่น้อยมากๆของนักลงทุนจีนนะครับ
เม.ย. 2015 ความจริงอีกเรื่องเริ่มปรากฏ เมื่อ Bloomberg Monthly GDP Tracker รายงานว่า เศรษฐกิจจีนโตในไตรมาสแรกของปีนี้แค่ 6.5% ซึ่งต่ำกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ที่ 7.0% … แต่ตลาดก็ไม่สนใจมากครับ เพราะ ธนาคารกลางจีน ประกาศลด RRR ลงอีก 100bps สวนข่าวร้ายทันที ช่วงนั้น นักลงทุนไทย เริ่มรู้สึกว่าตัวเองตกรถ และสนใจหุ้นจีน ก็ถามผมเข้ามาค่อนข้างเยอะ เลยได้อีก 1 บทความ เรื่อง เรื่องนี้คุณต้องรู้ ถ้าอยากออกไปสู้ในตลาดหุ้นจีน
พ.ค. 2015 ธนาคารกลางจีนประกาศลดดอกเบี้ยอีกรอบ 25bps ถึงตรงนี้ การลดแล้วลดอีก นั้นทำให้ทุกคนเชื่อว่า จีนจะต่อสู้ทุกทางเพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาแน่นอน ตลาดก็ Happy ลากกันไปอีก อีกเรื่องคือ เริ่มมีข่าวว่า จีนพยายามผลักดันตลาดหุ้นตัวเองเข้าไปอยู่ใน MSCI ให้ได้ ซึ่งถ้าเข้าคำนวนจริง ตลาดก็คิดว่า ต้องมีเม็ดเงินไหลเข้าไปอีกจำนวนมหาศาลแน่ๆเลย แต่ถ้าไปดูเงื่อนไขของตลาดวันนั้นนะครับ เหล่าหุ้นขนาดเล็กใน A Share ค่า PE แซงหน้าปี 2007 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกข้อมูลหนึ่งที่เห็นแล้วอาจขนลุกเล็กน้อยคือ บัญชีซื้อขาย Margin ในจีนแผ่นดินใหญ่ พุ่งขึ้นเกิน 3% ของ Market Cap ไปแล้ว สูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกหมดเลยทีเดียว นั้นหมายความว่า หากมีแรงปรับฐานเพียงเล็กน้อย ตลาดอาจมี Force Sell แล้วจาก Sell มันจะกลายเป็น Panic Sell ได้ไม่ยาก
มิ.ย. 2015 A Share ทำจุดสุงสุดที่ 5,176 จุด เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2015 แล้วความจริงก็ปรากฎขึ้นว่า MSCI เลื่อนแผนการเอาหุ้นจีนเข้าคำนวนดัชนี แล้วแรงขายแบบที่นักลงทุนกลัวว่าจะเกิด ก็เกิดขึ้นจริงๆ วันที่ 19 มิ.ย. A Share ปรับฐานวันเดียว 6.4% ทางการจีน พยายามจะหยุดอาการ Panic ด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps และลด RRR ลงอีก 50bps ตลาดแทบไม่มีการตอบรับเชิงบวกใดๆ A Share ปิดปลายเดือน มิ.ย. ลบลงจากจุดสูงสุดมากกว่า -20% เข้าสู่ Bear Market ที่แรกของโลกในปีนี้
ก.ค. 2015 ทางการจีนยังไม่ลดความพยายาม โดยออกกฎระงับหุ้น IPO เพราะกลัวว่าจะทำให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นลดลง และเพื่อหยุดแรงขาย สิ่งทีทำอีกอย่างก็คือ ขึ้น SP หุ้นในตลาดไม่ให้ซื้อขายมันซะเลย ทำให้แรงขายเริ่มเบาลงและมีแรงซื้อกลับ A Share จากจุดต่ำสุดของเดือน ก.ค. เด้งขึ้นมารวมๆ +21% ทีเดียว
ส.ค. 2015 จีนประกาศตัวเลขส่งออกติดลบเกือบๆ -9% ในเดือนก.ค. และ เช้าวันที่ 11 ส.ค. ธนาคารกลางจีนประกาศปรับค่ากลางอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน/ดอลลาร์สหรัฐฯเป็น 6.2298 หยวน/ดอลลาร์ ทำให้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับ USD ราวๆ 1.9% โดยให้เหตุผลว่า เงินหยวนแข็งเกินไปเมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆในช่วงที่ผ่านมา แถมลดต่อเนื่องอีก 2 วัน ตลาดไม่ปลื้มครับ แล้วเหตุการณ์ Black Monday ก็สามารถเกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีน เมื่อตลาดหุ้นร่วงระเนระนาดวันที่ 24 ส.ค. 2015 กว่า -8.5% ภายในวันเดียว ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดร่วงมาก่อนนี้แล้ว 1 สัปดาห์ เกือบๆ -15% หลังตลาดเริ่มรับรู้แล้วว่า ตัวเลข GDP Growth ของจีนที่ระดับ 7.0% สำหรับปีนี้ ดูจะเป็นฝันที่เกินจริง แล้วปลายเดือน ธนาคารกลางจีน ก็ประกาศลดดอกเบี้ยอีก 25bps และ ลด RRR ลงอีก 50bps หวังว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ก.ย. 2015 ตัวเลขการส่งออกเดือน ส.ค. ที่รายงานออกมา ชะลอตัวไม่เยอะเท่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่ตัวเลขการนำเข้า กลับหดตัวรุนแรง ประกอบกับยอดการลงทุนสั่งซื้อ Fixed Asset พวกเครื่องจักรในจีนนั้นลดลงอย่างมีนัยะ ถึงแม้ทางการจีน (กลต.) เข้าตรวจสอบธุรกรรมที่น่าสงสัย และประกาศเพิ่งวงเงิน Margin สำหรับบัญชี Margin Trade เพื่อป้องกันการทำ Short Selling และหวังจะ Cool Down ตลาดหุ้นลงให้ได้ แต่ก็ไม่มีผลครับ การลดดอกเบี้ย และ RRR ที่ผ่านมา ทำมาตั้งกี่ครั้ง จะเห็นว่า ตลาดก็ไม่มีหวังจะสร้างเสถียรภาพได้เลย
จนถึงวันนี้ เรายังไม่รู้นะครับ ว่าสุดท้าย GDP Growth ของจีนจะอยู่ที่เท่าไหร่ในปีนี้
แต่สิ่งที่พอดูได้ว่าตลาดหุ้นน่าสนใจแล้วหรือยังสำหรับการลงทุนในระยะยาว ก็คือ การกลับมาดูที่ Valuation ซึ่ง ต้องบอกว่า น่าสนใจแล้ว แต่เราไม่รู้หรอกครับ ว่า เหตุการณ์มันจะแย่ลงไปแค่ไหน
ถ้าเทียบกับวิกฤตรอบก่อนๆ ตลาดหุ้นจีนปรับฐานหนักๆตอน
Asian Financial Crisis ปี 1998 ตลาดหุ้นจีนร่วงไป -81%
TMT Bubble ปี 2000 ตลาดหุ้นจีนร่วงไป -46% (TMT ย่อมาจาก technology, media, และ telecom)
Subprime Crisis ปี 2008 ตลาดหุ้นจีนร่วงไป -74%
ตอนนี้ นับจากจุดสูงสุด ตลาดหุ้นจีนร่วงไปแล้ว -42% ก็ต้องถามกลับมา เหตุการณ์ของโลกมันแย่ขนาด 1998 หรือ 2008 หรือเปล่า?
ถ้าไม่แย่ขนาดนั้น มันก็ควรใกล้จบแล้วครับ … ส่วนตัวแล้ว ผมไม่แน่ใจจริงๆครับว่าตลาดจะเคลื่อนไหวอย่างไรใน 2-3 เดือนข้างหน้า แต่ถ้าถือยาวๆ ที่ระดับ PE ต่ำกว่า 8x แล้วไม่ได้มีวิกฤตเนี่ย ควรเด้งขึ้นมาได้แล้วครับ แต่บอกแบบนี้ ก็มีคนคิดว่า ควรเด้งมาตั้งแต่เดือน ก.ค. แล้วมันก็เด้งได้ไม่ไกลนะ
Mr.Messenger