สรุปผลการประชุมเฟดวันที่ 2-3 พ.ค. 23 ที่ผ่านมา ประเด็นที่นักลงทุนทุกคนควรรู้ และกลยุทธ์การลงทุนที่ควรเตรียมตัวในเฟสถัดไปแบบง่ายตามนี้
ผลการประชุม ก็อย่างที่ทุกคนทราบ คือ คณะกรรมการมีมติขึ้น 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% โดยย้ำถึงเป้าหมายระยะยาวว่า พยายามหาแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2%
คณะกรรมการจะยังคงปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและ MBS (หรือทำ QT) ตามที่ได้อธิบายไว้ในแผนการปรับลดขนาดงบดุลบัญชีของเฟด (Plans for Reducing the Size of the Federal Reserve’s Balance Sheet) ซึ่งประกาศไว้ก่อนหน้านี้
คณะกรรมการฯ จะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับแนวทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย เช่น ข้อมูลด้านสาธารณสุข ภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน และสถานการณ์ในต่างประเทศ
ในช่วงการตอบคำถาม คุณเจอโรมบอกว่า เงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายอย่างมาก และเมื่อพิจารณาจากมุมมองที่ว่า เงินเฟ้อจะต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าจะลดลง ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยตอนนี้จึงยังไม่เหมาะสม (ถึงสิ้นปี)
แปลว่า ห่วงเงินเฟ้อ มากกว่าวิกฤตสภาพคล่องธนาคาร
ตอนนี้ Fed Fund Rate อยู่ที่ 5.00-5.25% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อแล้วนิด ๆ แต่ถ้าฟังจากลุงเจอโรม ก็แปลว่า แกยังไม่ประมาท และเริ่มมีความเชื่อว่า เงินเฟ้อจะลงไม่เร็ว
ตรงนี้เอง ที่ตลาดผิดหวังนะ เพราะ ตลาดคิดไปไกลแล้วว่า ครึ่งปีหลัง เฟดจะต้องเริ่มลดดอกเบี้ยลงแล้ว
ด้านตลาดแรงงาน ลุงพาวเวล ให้ความเห็นว่า ยังคงตึงตัว แต่มีสัญญาณว่าอุปสงค์และอุปทานในตลาดแรงงานกำลังกลับสู่สมดุลที่ดีขึ้น และเขาเน้นย้ำว่าการเติบโตของค่าจ้างได้แสดงสัญญาณชะลอตัว
แต่เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐแทบไม่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (เลยไม่คิดลดดอกเบี้ยไง)
ประเด็นเรื่อง Debt Ceiling หรือ ความเสี่ยงด้านเพดานหนี้นั้น นายพาวเวลมองว่า ถ้าไม่มีการบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะมีความไม่แน่นอนในระดับสูง แต่เขาก็บอกว่า การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเพดานหนี้ ค่อยมาดูกันอีกที
คำถาม เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อไหม?
ใน statement เฟดได้ลดโทนลงแล้ว และบอกว่า ระดับปัจจุบันเริ่มเหมาะสมที่จะสู้กับเงินเฟ้อ แต่ก็เปิดโอกาสไว้ว่า ความเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้า อาจทำให้เฟดพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยอีกซักครั้งในการประชุมวันที่ 14 มิ.ย. แต่ตลาดเชื่อว่า เฟดจะไม่ขึ้นแล้วนะ
คำถาม แล้วเฟดจะคงดอกเบี้ย หรือ ลดดอกเบี้ยไหม?
ลุงเจอโรม ตอบคำถามนี้ช่วง Press Conference ชัดเจนว่า ไม่คิดจะลดดอกเบี้ยปีนี้ เพราะไม่อยากประมาทกับเงินเฟ้อ (เหมือนที่เคยประมาทมาแล้ว)
แต่ตลาดเชื่อว่า มีโอกาส 50% ทีเดียว ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 26 ก.ค. ที่จะถึง
สิ่งที่ตลาดเห็นตรงกับเฟดคือ “ดอกเบี้ยกำลังอยู่ที่จุดสูงสุดของรอบแล้ว” สินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากมุมมองนี้คือ เหล่ากองทุนตราสารหนี้
สิ่งที่ตลาดเห็นต่างจากเฟดคือ ตลาดมองเฟดต้องลดดอกเบี้ย เพราะข้างหน้า ความเสี่ยงเต็มไปหมด มุมมองนี้ ทองเลยวิ่ง เพราะ Hedge Against Risk
ที่ตลาดคิดว่า เฟดจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเมื่อเข้าครึ่งปีหลังเลย ผมมองว่า 2 ประเด็นหลัก ๆ
- Debt Ceiling ที่ทำเนียบขาวจะไม่อยากเจรจากับคองเกรสในการตัดงบประมาณบางส่วน โดยเฉพาะ Medicate ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่พรรคเดโมเครตหาเสียงไว้
- วิกฤตสภาพคล่องธนาคาร ที่ยังลามอยู่ตอนนี้
คือ เอาจริง ๆ ลุงเจอโรม ก็ลดโทนของความเหยี่ยวลงมาพอสมควรแล้วเมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อนหน้านะครับ เพียงแต่แกยังพิราบไม่พอเท่าที่ตลาดคิดไว้ เลยทำให้ฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังการประชุมเฟดมาเนี่ย ปรับฐานมาสองวันติดเลย
บริษัทใน S&P500 ยังคงโดนปรับลดประมาณการกำไร 2Q23 ลง แต่จะเริ่มเห็นว่า ปรับลดในอัตราที่น้อยแล้วจาก 3 ไตรมาสล่าสุดที่ผ่านมา แปลว่า ยังมี downside risk แต่ไม่มากแล้วนะ (ถ้าไม่เกิดวิกฤตอะไรรุนแรง)
ดู EPS revision ราย sector พบว่า Communication Services, Consumer Discretionary เริ่มมีการปรับคาดการณ์กำไรเป็นบวก ก็นะ ฝั่ง tech นี่ปลดคนงานไปเยอะ ส่วนกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ก็ได้ประโยชน์จากจีนเปิดเมือง
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานนี่ เหมือนจบรอบแล้วจริง ๆ
สุดท้าย จุดที่น่าซื้อในรอบใหญ่สำหรับคนลงทุนหุ้น ใกล้จะมาถึงแล้วนะ
จากสถิติในอดีต จะพบว่า ต้องรอให้ดอกเบี้ยลงมาก่อนซักระยะหนึ่ง ตลาดหุ้นถึงจะเจอจุดต่ำสุด (market bottom) ไม่ใช่คิดแค่ว่า ดอกเบี้ยไม่ขึ้นแล้ว แล้วซื้อหุ้นเลยนะครับ เพราะ downside ยังมี
Mr.Messenger รายงาน