ก่อนการประชุมสุดยอดของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กับกลุ่มผู้ประกอบการเอกชนจีนเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 นักลงทุนเริ่มแห่เข้าซื้อหุ้นเทคโนโลยีในตลาดจีน โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำ เช่น Alibaba, Tencent, Huawei, Xiaomi และ Meituan ส่งผลให้ดัชนี Hang Seng Tech Index พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022

จีนปรับทิศ: การกลับมาของภาคเทคโนโลยีและการปรากฏตัวของ แจ็ค หม่า

การประชุมสุดยอดครั้งนี้เต็มไปด้วยผู้บริหารจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ Huawei, Alibaba, Tencent, Xiaomi รวมถึง BYD ผู้ผลิต EV และสตาร์ทอัพ AI อย่าง DeepSeek ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของสี จิ้นผิง ในการผลักดัน New Productivity Force หรือ “กำลังการผลิตใหม่” เพื่อยกระดับเศรษฐกิจจีนและรับมือกับความท้าทายระดับโลก แต่ถึงอย่างนั้น สื่อก็ตั้งข้อสงสัยว่า ไม่พบการปรากฎตัวของผู้บริหารจาก Baidu และ ByteDance 

จีนปรับทิศ: การกลับมาของภาคเทคโนโลยีและการปรากฏตัวของ แจ็ค หม่า

การประชุมสุดยอดครั้งนี้ถูกมองว่าเป็น “จุดเปลี่ยนแห่งชาติ” ซึ่งรัฐบาลจีนต้องการส่งสัญญาณสนับสนุนภาคเอกชน หลังจากดำเนินนโยบายควบคุมอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่ปี 2020 ที่ทำให้บริษัทเทคจีนต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาล และผู้ประกอบการหลายรายต้องหลีกเลี่ยงการเป็นที่สนใจของสาธารณะ

คำถามที่สำคัญคือ ทำไมรัฐบาลจีน จึงจัดการประชุมในช่วงเวลานี้?

ผมมองว่า เพราะจีนเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายด้าน ทั้งปัญหาว่างงานของคนรุ่นใหม่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา หนี้รัฐบาลท้องถิ่น และความกังวลเรื่องภาวะเงินฝืด (deflation) ในขณะเดียวกันปัจจัยภายนอก ก็คืบคลายเข้ามาเรื่อยๆ โดยจีนยังคงโดนสหรัฐฯเดินหน้ากีดกันเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์

การเห็นฉาก และภาพการจับมือกันระหว่างผู้บริหารบริษัทเทคยักษ์ใหมญ่ในจีนกับสี จิ้นผิง ที่เราไม่ได้มาอย่างยาวนานครั้งนี้ สะท้อนว่ารัฐบาลจีนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน และสร้างขีดความสามารถในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น AI, Cloud Computing และ Semiconductor เพื่อลดการพึ่งพาตะวันตก

อีกสาเหตุหนึ่งคือ DeepSeek AI บริษัทสตาร์ทอัพของจีน ได้เปิดตัว AI Model ที่สามารถแข่งขันกับ OpenAI ของสหรัฐฯ แม้จะถูกกีดกันการเข้าถึงชิปประมวลผลขั้นสูงก็ตาม สิ่งนี้ ผมมองว่า มันทำให้รัฐบาลจีนเห็นโอกาส และช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าจีนยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้ทัดเทียมกับสหรัฐ แม้ต้องเผชิญมาตรการควบคุมที่มีอยู่ก่อน และอาจจะมีเพิ่มเติมหลังจากนี้

✅ ผลกระทบระยะสั้น:

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา

การสนับสนุนจากรัฐบาลอาจช่วยให้บริษัทเอกชนได้รับสินเชื่อและโอกาสขยายธุรกิจมากขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายกฎและข้อบังคับบางอย่าง ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ง่ายขึ้น

ส่วนในด้าน ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ อาจตึงเครียดขึ้น เนื่องจากจีนเดินหน้าสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของตัวเอง แน่นอนว่า จะสร้างความไม่สบายใจให้แก่สหรัฐ

🚀 ผลกระทบระยะยาว:

ต่อจีน: ภาคเทคโนโลยีอาจกลับมาเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ แต่บริษัทต้องดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบที่รัฐบาลกำหนด

ต่อสหรัฐฯ: สหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรด้านเทคโนโลยี เช่น ขยายข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน

ต่อตลาดโลก: นักลงทุนต่างชาติอาจกลับมาสนใจหุ้นจีนอีกครั้ง แต่ยังต้องจับตาความสัมพันธ์จีน-ตะวันตก

ทั้งนี้ รายงานจาก Bloomberg พบว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม ถึง 13 กุมภาพันธ์ 2025)

ตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้นกว่า $1.3 ล้านล้าน

ตลาดหุ้นอินเดียหดตัวลงกว่า $720 พันล้าน
📌 ดัชนี MSCI China มีแนวโน้มแซงหน้า MSCI India เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิตินานสุดในรอบ 2 ปี

ตัวเลขนี้น่าสนใจ เพราะ ตลาดหุ้นอินเดีย ทำผลตอบแทนได้ดีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับตลาดหุ้นจีน ที่พบกับข่าวร้ายและแรงเทขายจากนักลงทุนต่างประเทศและในประเทศในช่วงเวลาเดียวกัน

แต่พอเข้าปี 2025 เราพบว่า กระแสเงินทุนไหลกลับทิศ และนักลงทุนต่างชาติเริ่มสนใจลงทุนในตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้น

โอกาสในการลงทุนและความเสี่ยงในการลงทุนกับหุ้นเทคจีน

💡 โอกาส:

หุ้นเทคจีน: เช่น Alibaba, Tencent, Baidu และ Meituan อาจฟื้นตัว หากรัฐบาลจีนสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้อย่างต่อเนื่อง

AI และ Semiconductor: การพัฒนา AI และชิปของจีน เช่น DeepSeek และ SMIC อาจได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ

ETF จีน: นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงสามารถพิจารณา ETF ที่เน้นตลาดหุ้นจีน เช่น KWEB (KraneShares CSI China Internet ETF)

กองทุน MEGA10CHINA-A ที่อยู่ใน The Contrarian Call ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/china-jan-2025

⚠️ ความเสี่ยง:

มาตรการควบคุมของรัฐบาลจีน หากบริษัทเทคฯ เติบโตเร็วเกินไป อาจถูกตรวจสอบด้านกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอีกครั้ง

สงครามการค้าและเทคโนโลยี สหรัฐฯ อาจออกมาตรการใหม่เพื่อกดดันภาคเทคโนโลยีของจีน

ภาวะเศรษฐกิจจีน แม้ภาคเทคฯ จะฟื้นตัว แต่ปัญหาหนี้สินและตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง

จุดเปลี่ยนของเทคจีน: ยังเสรีเหมือนเดิมหรือไม่?

แม้ว่าการประชุมครั้งนี้จะส่งสัญญาณสนับสนุนภาคเอกชน แต่ รัฐบาลจีนยังคงควบคุมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด บริษัทขนาดใหญ่ยังต้องปฏิบัติตามนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น การควบคุมข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และการพัฒนาเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ

ภาคเทคโนโลยีจีนจึง “ไม่ได้กลับสู่ยุคเสรีเต็มที่” แต่กำลังเข้าสู่ “ยุคแห่งความร่วมมือกับรัฐ” ที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ เช่น AI, ชิป และ Cloud Computing มากกว่าธุรกิจแบบเก่าอย่างอีคอมเมิร์ซและเกมออนไลน์

📌 สรุป: การกลับมาของภาคเทคจีนเป็นโอกาสหรือแค่ภาพลวงตา?

✅ หุ้นเทคจีนอาจฟื้นตัว จากสัญญาณบวกของรัฐบาล แต่ยังต้องเผชิญกับกฎเกณฑ์ใหม่

✅ เทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ (AI, Semiconductor) ได้รับการสนับสนุน เพื่อเสริมแกร่งจีนในเวทีโลก

⚠️ สงครามการค้าและเทคโนโลยีจีน-สหรัฐฯ ยังไม่จบ อาจนำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม

⚠️ เศรษฐกิจจีนยังคงเปราะบาง นักลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานก่อนตัดสินใจลงทุน

🔥 “จีนปรับทิศ เทคโนโลยีอาจกลับมา…แต่มันไม่เหมือนเดิม!”

ใครสนใจ และอยากเก็งกำไรตามกระแสบวกที่มีต่อเนื่องในกลุ่มเทคจีน ผมมองว่า ยังสามารถลงทุนได้ แต่คุณต้องมีวินัย เก็บกำไรในจุดที่พอใจ และอาจจำเป็นต้องตั้งจุด Stop Loss อย่างมีวินัย หากฉากทัศน์นี้มีการเปลี่ยนไปครับ

Bank – The Trend Follower Investor

Wealth Health Check