ถ้าถามกัน ณ ชั่วโมงนี้ ว่า หนึ่งใน บลจ. ซึ่งอยู่ในใจของผู้ลงทุนชาวไทยในการตัดสินใจเลือกลงทุนฝากผีฝากไข้กับเขาคือใคร ก็ต้องบอกว่า หนึ่งในนั้นคือ “อเบอร์ดีน” Aberdeen “กลุ่มอเบอร์ดีน” เป็นผู้บริหารกองทุน โดยมีทรัพย์สินรวมภายใต้การบริหาร US$314.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ มี 31 สำนักงานทั่วโลก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2526 นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์การลงทุนในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยถึง 15 ปี ซึ่งปัจจุบันกลุ่มอเบอร์ดีนมีทรัพย์สินที่ลงทุนในประเทศไทยกว่า US$1.1 พันล้าน หรือ 3.4 หมื่นล้านบาท โดยเป็นสินทรัพย์ประเภทกองทุนรวมหุ้นไทยเกินครึ่งทีเดียว ไม่เหมือน บลจ. อื่นๆที่ส่วนใหญ่จะมีสินทรัพย์ประเภทกองทุนรวมตราสารหนี้ในสัดส่วนเกินกว่า 70% ทั้งนี้ นี้ก็แสดงให้เห็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของ บลจ.อเบอร์ดีน ที่เก่งมากๆในการลงทุนหุ้นไทย
และหนึ่งในกองทุนซึ่งถือว่าเป็น Flagship ของ บลจ. และมีผลการดำเนินงานมายาวนาน จัดตั้งกองมาตั้งแต่ปี 2540 ก็คือ “Aberdeen Growth Fund” หรือเรียกตัวย่อว่า ABG
ถ้าใครเหลือบไปมอง NAV ของกองทุน ABG ตอนนี้ คงจะตกใจเล็กน้อย เพราะ NAV ต่อหน่วยอยู่ที่ 105.6341 บาท/ต่อหน่วย ซึ่งถือว่า เป็น NAV ที่แพงที่สุดในบรรดากองทุนรวมเมืองไทยเมื่อเปรียบเทียบทั้งประเทศเลยทีเดียว
และหลายคนก็เข้าใจผิดว่า NAV แพง ได้หน่วยลงทุนลดลง แบบนี้ เวลาวิ่งก็ช้าสิ ไปหากองทุนที่ NAV ถูกกว่านี้ดีกว่า …. นั้นคือ ความเข้าใจที่ผิด ของนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมนะครับ
ผมสมมติให้ มีกองทุน A กับ B เปิดกองทุนพร้อมกันที่ 10 บาท/หน่วย ผ่านไป 3 ปี กองทุน A ราคาวิ่งมาที่ 13 บาท ส่วน B อยู่ที่ 11.2 บาท คำถามคือ ใครบริหารเงินเราได้ดีกว่า … A หรือ B?? ถ้าคุณเลือกลงทุนในกองทุนที่ NAV เหตุการณ์นี้ คุณจะเลือกกองทุน B ซึ่งผลการดำเนินงานย้อนหลังแย่กว่า A เกินครึ่งหนึ่งทีเดียว
อีกเหตุผลหนึ่งคือ กองทุนรวมแต่ละกอง มีระยะเวลาการดำเนินงานไม่เท่ากัน เช่น กองทุน C เปิดกองทุนมา 10 ปี ส่วนกองทุน D เปิดมา 3 ปี ด้วยระยะเวลาที่ C ยาวกว่า ก็สมควรแล้วที่ C จะมี NAV ที่แพงกว่า ถ้าผลการดำเนินงานดีกว่า แต่ถ้าเปิดมาดูราคา NAV แล้วเท่ากัน ก็ต้องบอกได้เลยว่า กอง C มันมีปัญหาแน่ๆ จริงไหมครับ
ดังนั้น ABG ซึ่งเปิดกองทุนมาตั้งแต่ปี 2540 จึงสมควรแล้วที่จะมี NAV แพงแบบนี้ เพราะกองเค้าดีจริง!! ถ้านับเป็นผลตอบแทนย้อนหลัง 16 ปี จะเห็นว่า กองทุน ABG ผลตอบแทนได้เฉลี่ย ปีละ 56% !!!
ถึงแม้ว่าในระยะสั้นๆอย่างปีที่แล้ว ผลตอบแทนของ ABG จะไม่ติดอันดับ 1 ใน 10 แต่ในระยะยาว กองทุนนี้ทำผลตอบแทนได้สม่ำเสมอที่สุดกองหนึ่งในไทยเลยทีเดียว คำถามคือ เพราะอะไร ABG ถึงทำได้ขนาดนี้?
คำตอบต้องกลับไปที่นโยบายการลงทุนของอเบอร์ดีนครับ อเบอร์ดีน เป็นบลจ.ที่บริหารและคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตแบบ Bottom-Up Approach คือ ไม่สนใจภาวะเศรษฐกิจว่าจะเป็นอย่างไร แต่จะเลือกบริษัทที่มีการดำเนินงานที่ดียาวนานต่อเนื่อง ถือมันไปจนกว่าปัจจัยพื้นฐานจะเปลี่ยน เพราะเชื่อว่า บริษัทที่ดี จะสามารถรอดจากทุกวิกฤต และสร้างกำไรให้ผู้ถือหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
วิธีการเลือกหุ้นของอเบอร์ดีน จะทำ Company Visit ปีละ 2 ครั้งกับบริษัทที่ตัวเองเลือก ได้หุ้นในใจมาแล้ว ต้องเอาเข้าบบอร์ด และ Investment Committee เพื่อหาข้อสรุปว่า หุ้นตัวที่ผู้จัดการกองทุนไปหามานั้นดีจริงหรือเปล่า จะปรับพอร์ตลด เพิ่มอะไร ไม่ได้พึ่ง Fund Manager เพียงแค่คนสองคน แต่ต้องได้รับการอนุมติและเห็นชอบจาก Regional Office ซึ่งอยู่ต่างประเทศอีกที จะเห็นว่า ระบบการคัดกรองหุ้น และนโยบายการลงทุน รัดกุมมากๆ นั้นจึงเป็นสาเหตุที่อเบอร์ดีนแตกต่างจากที่อื่นครับ
ABG เป็นกองทุนที่มี Universe ในการเลือกหุ้นคือ ทั้ง SET Index ไม่จำกัดเรื่อง Market Cap จะใหญ่จะเล็กก็ได้ แต่ถ้าดีจริงก็พิจารณาทั้งหมด ด้วยนโยบายแบบนี้ จึงมีความยืดหยุ่นในการเลือกหุ้นในภาวะที่ตลาดอาจหันไปเล่นตัวขนาดเล็ก หรือกลับมาลากตัวใหญ่ ABG ก็มีส่วนตลอดกับการวิ่งนั้น
สำหรับรายละเอียดอื่นๆนั้น บางส่วนผม Capture มาจาก morningstarthailand.com ให้ดูครับ
ข้อดีของ ABG อีกอย่างก็คือ ไม่คิดค่าธรรมเนียมการซื้อ หรือ ไม่มี Front-End Fee นั้นเอง แต่จะไปเก็บ Back-End Fee ตอนนักลงทุนขายที่ 1% แทน สำหรับใครที่ต้องการลงทุนยาวๆ ก็ถือว่าดีกว่า เพราะ ต้นทุนเงินลงทุนของท่านจะไม่ถูกหักออกเพราะกองทุนไม่มี Front-End Fee ทำให้ลงทุนเท่าไหร่ ได้หน่วยลงทุนเท่าราคา NAV ตอนนั้นเลย เยี่ยมใช่มั้ยละครับ
นอกจาก ABG แล้ว อเบอร์ดีนยังมีกองทุนหุ้นอีก 2 กอง ที่คัดเลือกหุ้นโดยพิจารณาจากขนาดซึ่งแตกต่างกันก็คือ ABSM ซึ่งจะเลือกหุ้นที่มีทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 20,000 ลบ. เท่านั้น และ ABSL ซึ่งจะเลือกหุ้นที่มีขนาดใหญ่ 150 บริษัทแรกใน SET Index เท่านั้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ABSM มีผลการดำเนินงานโดดเด่น เพราะหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กวิ่งดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่
สำหรับใครที่อยากจะออมไว้ในกองทุนรวมระยะยาวๆ แะชื่นชอบสไตล์การลงทุนแบบนี้ ก็อย่าพลาดนะครับ นี้คืออีกหนึ่งกองทุนคุณภาพ ซึ่งสมควรค่าแก่การมีติดพอร์ตจริงๆ 🙂