สกิลที่เราถูกสอนในโรงเรียน และมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่คือ สกิลการใช้แรงงานในชีวิตของเราไปแลกเงิน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าอยากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนให้มันคุ้มกับหยาดเหงื่อแรงงานที่เอาเวลาทุ่มเทแรงกายแรงใจ ไปแลกมันมา ก็ต้องคิดต่อให้ออกว่า จะให้เงินทำงานอย่างไร?
และที่ที่จะทำให้เงินทำงาน เพื่อเป็นตัวช่วยที่ดีให้กับเราอีกแรง ก็คือ “การลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวม”
เพราะ กองทุนมีผู้จัดการกองทุนดูแลแทนเราอีกชั้น
เพราะ กองทุนกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในบริษัทหลากหลายบริษัท
กองทุนรวมจึงเป็นเครื่องมือในการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสำหรับมนุษย์เงินเดือน และเป็นแหล่งเงินออมระยะยาวที่ทรงพลัง
ถ้ายังไม่รู้จะไปลงทุนกองทรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ แล้วเราจะไหวไหม?
วันนี้ขอ 6 ขั้นตอน ลงทุนกองทุนรวมหุ้นไทย โตไปไม่จน
1. ตั้งเป้าหมายให้ชัด และ เป็นไปได้
จะสร้างบ้าน ก็ต้องวาดแปลน จะตั้งบริษัท ก็ต้องมีแผนธุรกิจ และลงทุน ก็ต้องมีเป้าหมายนะครับ และ ขั้นตอนแรกที่จะบอกก็คือ ตั้งใจเป้าหมายให้มันเห็นชัดๆไปเลยว่า สำเร็จได้ และมีแผนรองรับที่ชัดเจน ผมแนะนำให้ใช้ SMART Goals ซึ่งประกอบไปด้วย
- Specific (simple, sensible, significant) ระบุให้ชัด ง่าย และตรงประเด็น
- Measurable (meaningful, motivating) สามารถวัดผลได้ระหว่างทาง ว่า ห่าง หรือ ใกล้แค่ไหน
- Achievable (agreed, attainable) มีความเป็นไปได้ มีโอกาสสำเร็จสูง
- Relevant (reasonable, realistic and resourced, results-based) สมเหตุสมผล อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
- Time bound (time-based, time limited, time/cost limited, timely, time-sensitive) มีกรอบระยะเวลาชัดเจน
ยกตัวอย่างเป้าหมาย SMART Goals ตามประโยคนี้นะครับ
“ฉันจะมีเงินลงทุนรวม 40 ล้านบาท ในอีก 40 ปีข้างหน้า ด้วยวิธีการทยอยลงทุนสะสมเรื่อยๆทุกๆเดือน ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทย”
2. ตรวจสอบสุขภาพการเงินก่อนลงทุน
มีเป้าหมายชัดแล้ว ก็ต้องกลับมาตรวจสอบตัวเอง คล้ายๆกับนักกีฬานั่นหล่ะครับ ต้องตรวจเช็คร่างกาย สภาพความพร้อมก่อนออกไปสู่สนามจริง การลงทุนก็เช่นเดียวกัน ซึ่งวิธีการตรวจสอบพื้นฐานเลยก็คือ ใช้ Survival Ratio
สูตรการคำนวณ ก็คือ
Survival Ratio = รายได้ต่อเดือน หารด้วย ค่าใช้จ่ายต่อเดือน
สำหรับใครก็แล้วแต่ พอคำนวณ สูตรนี้ปั๊บ กลับพบว่า Survival Ratio ออกมามีค่าต่ำกว่า 1 นั่นแปลว่า คุณไม่มีเงินเหลือพอที่จะออม ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่สามารถเริ่มต้นลงทุนได้นะครับ ต้องไปปรับลดค่าใช้จ่าย หรือไม่ก็ต้องหารายได้ในทางอื่นเพิ่มขึ้นให้ได้ก่อน สาเหตุเป็นเพราะ แผนการลงทุนระยะยาว จำเป็นต้องมีเงินออมที่สามารถลงทุนได้นานๆเช่นกัน ไม่ใช่ ลงทุนไป 3 วัน ก็ต้องขายออกมา เพราะว่า มีเหตุต้องใช้ฉุกเฉิน แบบนี้ เงินมันก็ไม่โตซักที แถมมีโอกาสโอกาสติดลบในระยะสั้นๆด้วย
3. เลือกกองทุนที่เรามั่นใจ ดูทั้งในเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ
กระบวนการคัดเลือกกองทุนที่เรียกว่า Best-In-Class Process หรือ การคัดเลือกกองทุนคุณภาพดีเยี่ยมมาเข้าพอร์ต ซึ่งจะดูทั้งปัจจัยเชิงคุณภาพ และปัจจัยเชิงปริมาณ
ปัจจัยเชิงคุณภาพ : นักลงทุนต้องลองศึกษาดูครับว่า กองทุนนั้นๆ ใครเป็น Fund Manager, ประสบการณ์การบริหารพอร์ตเป็นอย่างไร สไตล์ไหน ช่วยกันดูแบบ Team Base ช่วยกันดู ช่วยกันเลือก หรือเน้นแบบ Star Manager ดูไปเลยคนเดียว ซึ่งไม่มีถูก ไม่มีผิดครับ เอาที่เราชอบ เลือกกองทุนที่ถูกกับจริตนิสัยของเรา
ปัจจัยเชิงปริมาณ : คือ ข้อมูลที่สามารถแปลเป็นตัวเลขได้ ซึ่งตัวสำคัญเลยก็คือ ผลตอบแทนย้อนหลังระยะยาว 3 ปี 5 ปี (ยิ่งไกลไปถึง 10 ปี ยิ่งดี) เพราะสะท้อนความสามารถของผู้จัดการกองทุนได้ดี แต่ไม่ใช่แค่นั้น ผมแนะนำให้ดูความผันผวน หรือ Standard Deviation ประกอบด้วย ซึ่งทางสมาคิมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ก็ได้มีการจัดทำ AIMC Category Performance Report เป็นรายเดือน ไว้เป็น Guideline ให้กับนักลงทุนได้ใช้เช่นกัน เพื่อเปรียบเทียบว่า ทั้งผลตอบแทน และความผันผวน ของกองทุนที่เราเลือกเนี่ย เทียบกับกองทุนอื่นๆแล้ว ถือว่าดีกว่า หรือแย่กว่าอย่างไร
4. วางแผนการลงทุนอย่างมีวินัย
เมื่อได้กองทุนรวมที่เราเลือกมาดีแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการวางแผนการลงทุนละครับ แต่ก่อนจะไปต่อ ผมแนะนำว่า นักลงทุนไม่ควรลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทย จำนวนกองที่มากเกินไป เพราะ ยิ่งลงหลายกอง ก็เท่ากับ เหมือนไปลงทุนในดัชนี SET Index ก็อาจไม่ได้ประโยชน์จากความสามารถของผู้จัดการกองทุนเต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกอย่าง ก็คือ จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการเอาเวลาไปติดตามกองทุนแต่ละตัวมากขึ้น
มาที่การวางแผนการลงทุน สิ่งที่แนะนำก็คือ ไม่ควรให้ความสนใจกับการจับจังหวะตลาดมากเกินไปว่า ตอนนี้ถูกหรือแพง แต่ควรตั้งใจทยอยสะสมการลงทุนไปเรื่อยๆมากกว่า เพราะผ่านมาร้อยกว่าปี คนที่ซื้อได้ถูกที่สุด และขายได้แพงที่สุด ก็ยังไม่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ ดังนั้น ถึงพยายามจับจังหวะไป ก็จะทำให้เราหมดเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ได้มีความคัญขนาดนั้นครับ ดังนั้น การทยอยลงทุนสม่ำเสมอ ด้วยเงินจำนวนเท่าๆกับ เป็นคำตอบที่ควรทำมากกว่า
5. ปรับสมดุลพอร์ตระหว่างทาง ด้วย Rebalancing Portfolio
Rebalancing หรือ การปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การปรับสัดส่วนของสินทรัพย์หลักที่เราวางแผนลงทุนในระยะยาว (Strategic Asset Allocation : SAA) ให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนที่เราตั้งใจลงทุนไว้ในตอนแรก ด้วยวิธีคือ ขายสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักเกินสัดส่วนที่กำหนด และ ซื้อสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าที่เรากำหนด นั่นเอง
เพื่อให้พอร์ตการลงทุนไม่เสี่ยงสูงจนเกินไป และไม่เสี่ยงต่ำจนเกินไป หากกรณีที่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นสูงเป็นระยะเวลานานโดยที่ไม่มีการปรับสมดุลพอร์ต หากเกิดการปรับฐานรุนแรง เช่นเกิดวิกฤตการเงิน จะทำให้พอร์ตโดยรวมมีมูลค่าลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่สูงเกินไป (คุณก็เห็น SET Index ที่ระดับ 1,700 up ตรงนี้ ใกล้ All Time High เมื่อ 23 ปีที่แล้วขนาดไหน)
6. ตรวจสอบ และประเมิณสถานการณ์ไปตลอดทาง
ถึงเราจะมีระบบการปรับสมดุลพอร์ต หรือ Rebalancing คุมความเสี่ยงตลอดทางแล้ว แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องประเมิณอย่างอื่นตามไปด้วย นั่นคือ Fundamental, Valuation และ Risk ของตลาด คือ
- Fundamental ติตตามว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทย จะไปทางไหนในอนาคต ย้ำนะครับว่า ในอนาคต อย่าเอาความรู้สึกของตัวเองในปัจจุบันมาวัด เพราะตลาดหุ้น เป็นตลาดที่พยายามคาดการณ์อนาคตในอีกอย่างน้อยๆ 6 เดือนข้างหน้า
- Valuation ติดตามมูลค่าของหุ้นที่กองทุนเราไปลงทุน ว่าอยู่ในโซนถูกหรือแพง เมื่อเทียบกับในอดีต เพื่อจะได้ประเมินสถานการณ์ได้ว่า น้ำหนักสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นไทยเราควรจะเป็นเท่าไหร่
- Risk หรือ ความเสี่ยง จริงๆ ก็คือ การลงทุนโดยตั้งอยู่บนความไม่ประมาท เพราะระหว่างทางนักลงทุนต้องทำใจไว้เลยนะครับว่า เราจะเจอข่าวร้าย ข่าวดี ปะปนอยู่ตลอดทาง จนกว่าจะถึงฝั่งฝันในการลงทุน หน้าที่ของเรา ไม่ใช่การละเลย หรือปล่อยผ่านข่าวเหล่านั้นไป หากแต่เป็นการแยกแยะให้ได้ว่า ข่าวใดไปกระทบทำให้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเปลี่ยนแปลง หรือ ข่าวใดเป้นแค่กระแส มาแล้วก็ไป ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไรกับการลงทุน นักลงทุนผู้ฉลาดในการเสพข่าว จะประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวแน่นอน
ทั้งหมดนี้ คือ 6 ขั้นตอนในการลงทุนกองทุนรวมหุ้นไทย ซึ่งใครทำได้ตั้งแต่เริ่มต้น รับรองครับ โตไปไม่จน เพราะพอร์ตการลงทุนที่วางไว้ดี ทำตามแผนได้เยี่ยม จะสร้างผลตอบแทนไว้เลี้ยงเราในยามแก่เฒ่าได้อย่างแน่นอน
และถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวม ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ เค้าจะจัดงานมหกรรมการลงทุนครั้งสำคัญแห่งปี SET in the City 2017 ระหว่างวันที่ 16-19 พฤศจิกายน 2560 ที่ชั้น 5 สยามพารากอน ภายในงานจะมีนวัตกรรมการลงทุนมากมาย ทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุน รวมถึงเครื่องมือเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทุน
ที่พลาดไม่ได้คือกองทุนรวมหลากหลายประเภทกว่า 1,000 กองทุนจาก 14 บลจ. ชั้นนำที่นำมาให้ผู้ลงทุนได้เลือกสรรตามความชอบ ทั้งกองทุนหุ้น และกองทุนประเภทต่างๆ รวมถึงกองทุนรวม LTF – RMF สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนภาษีแล้วยังไม่ได้เริ่มซื้อ หรือซื้อแล้วแต่ยังไม่ครบสิทธิ์ อย่าลืมแวะไปลงทุนกันนะครับ
ใครสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดงานได้ที่ www.set.or.th/setinthecity
คิดจะเริ่มต้นลงทุนในหุ้น เริ่มต้นที่หุ้นไทย
และถ้าจะให้พอร์ตโตไปอย่างยั่งยืน ลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นไทยดูนะครับ
ผู้จัดการกองทุนคนไทย เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลกนะ ขอบอก!!