หลังจากโชว์พอร์ตกองทุนของตัวเองไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ผลปรากฏมีเพื่อนๆนักลงทุนเข้ามาถามกันเยอะพอสมควรว่า เหตุอันใด ข้าพเจ้าถึงกล้าเอาเงินตัวเองไปใส่ไว้ในตลาดหุ้นจีน? บทความนี้ ขอรวบรวมเหตุผลซึ่งจริงๆ ผมก็โพส และแนะนำคนที่รู้จักมาตลอดว่า ชำเลืองมองหุ้นจีนไว้บ้างก็ดีนะ ถ้าจะให้ดี ก็ใส่เงินไว้ในตลาดนี้ซักหน่อย เพราะตัวผมเองเชื่อว่า หลังจากนี้ ตลาดหุ้นในเอเชียที่น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นไทย หนึ่งในนั้นก็คือ ตลาดหุ้นจีนนั้นเอง
เหตุผลข้อที่ 1 : เศรษฐกิจโตดีสุดในกลุ่ม G20 แต่ตลาดหุ้น กลับให้ผลตอบแทนห่วยสุด
ปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจจีน ใหญ่แซงเบอร์สองของโลกอย่างญี่ปุ่นไปเรียบร้อยแล้ว และจ่อแซงพี่ใหญ่ของโลกอย่างอเมริกาไม่เกิน 30 ปีข้างหน้าค่อนข้างแน่ (ถ้าไม่สะดุดอะไรเสียก่อนนะ)ด้วยอัตราการเติบโตที่อาจมีนักวิเคราะห์และนักลงทุนผิดหวัง เพราะมันไม่ใช่ 10% เหมือนก่อนวิกฤต Subprime ปี 2008 แต่ ถ้าสามารถทรงตัวอยู่ที่ระดับ 6.5%-7.0% ได้ แค่นี้ ก็โตดีกว่าประเทศอื่นๆเป็นไหนๆแล้วครับ
อีกเรื่องที่นักลงทุนกังวล จนกดให้ตลาดหุ้นจีนไม่ปรับตัวขึ้นเลยหลังปี 2008 ที่ผ่านมา ก็คือ Shadow Banking ซึ่งผมเคยเขียนถึงเรื่องนี้ไปแล้ว ที่นี่ >> http://pantip.com/topic/30703160 ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีน เพราะกลัวภาพ Subprime ในอเมริกาจะเกิดกับจีนซ้ำรอบอีกรอบ แต่จนถึงปัจจุบัน หนี้ต่างๆที่ครบกำหนด ทางบริษัทต่างๆ รวมถึงภาคธนาคารก็ยังมีสภาพคล่องเหลือพอที่จะอุ้มและประคับประคองไปได้ และปีหน้า พวก Wealth Management Package เหล่านี้ จะมีวงเงินครบกำหนดน้อยกว่าปีนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้น ผมก็มองว่า ตลาดอาจ Price In หรือ รับรู้ข่าวร้าย และกลัวมันมากจนเกินไป
ไปดูตารางผลตอบแทนของสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ตารางนี้ครับ จะเห็นว่า ปี 2010 – 2013 เป็นระยะเวลา 4 ปีทีเดียวที่ตลาดหุ้นจีน ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่อื่นของโลก และแย่กว่าแม้กระทั่งตราสารหนี้เสียด้วย จีนแย่ขนาดนั้นเลยหรอ? ไม่ควรลงทุนขนาดนั้นเลยหรอ? มันจะไม่มีโอกาสกลับมาเลยหรอ? เหตุผลข้อแรกนี้ทำให้ผมหันมามองจีนครับ
เหตุผลข้อที่ 2 : ตลาดหุ้นจีน ณ ระดับราคาปัจจุบัน Valuation ถูกที่สุดในเอเชีย
ด้วย Trailing P/E ที่ต่ำกว่า 10 เท่า และ Forward P/E ระดับ 8 เท่า นี่ก็เพียงพอให้คนที่คิดถึงเรื่อง MOS (Margin Of Safety) หันมาสนใจลงทุนกันมากขึ้นแล้วครับ แต่เอาจริงๆ ใครชอบเรื่อง Valuation ถูก คุณอาจจะชอบตลาดหุ้นรัสเซีย ซึ่งตอนนี้ P/E แค่ 5.5x เท่านั้น !! แต่ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงจากราคาพลังงานที่ลดลง และประเทศเขาก็พึ่งพาการส่งออกมากกว่าครึ่งของ GDP ทีเดียว ไม่รู้ปัญหาคว่ำบาตรกันไปมาระหว่าง EU และรัสเซียจะจบเมื่อไหร่นะ เพราะงั้น ผมเลยมองว่า หุ้นจีน ณ ตอนช่วงต้นปีที่ผ่านมาเนี่ย คุ้มเสี่ยงแล้ว เหลือแค่จังหวะที่ใช่ เท่านั้น
เหตุผลข้อที่ 3 : Breakout Major Downtrend
พอไปดูกราฟของ A-Share ของจีน (Mainland) ก็พบรูปแบบที่น่าสนใจทีเดียว และมันก็เป็นจังหวะที่ผมบอกตัวเองว่า นี่ละคือจังหวะที่เรารอคอย และทยอยสะสมในช่วงนั้นเป็นต้นมา พร้อมกับบอกลูกค้า และเพื่อนร่วมงานว่า “แบ่งเงินมาอยู่ในหุ้นจีนกันบ้างเถอะ”
กราฟด้านล่าง เป็น A-Share ย้อนหลังไป 10 ปี จะเห็นว่า หลังวิกฤตปี 2008 ตลาดหุ้นจีนไม่สามารถทำ Higher High หรือจุดสูงสุดใหม่ได้เลย พร้อมกับมี Sideway Downtrend กดดันมาตลอด และเพิ่งจะสามารถทะลุผ่านมาได้ช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ที่ผ่านมานี้เอง และยืนยันการกลับตัวมากขึ้นจากการสามารถทำ Higher High ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ใครเห็นตรงนี้เหมือนผม ณ ระดับราคาที่เราเข้าไปลงทุน เราก็ได้ไปแล้วมากกว่า 20% ทีเดียว
เหตุผลข้อสุดท้าย : การมาของ Story ดีๆ เพื่อกระตุ้นตลาดให้คึกคักอีกครั้ง
ซึ่งข่าวแรก คือการเริ่มเปิดเสรีการซื้อขายหลักทรัพย์ไปมาระหว่างกันระหว่าง A-Share และ H-Share ที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง นั้นทำให้ นักลงทุนทั่วโลก สามารถเข้าลงทุนในตลาด Mainland ได้ทันทีผ่านการเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรคเกอร์ที่ฮ่องกง ถึงแม้จะยังมีกฎป้องกันการเก็งกำไร เช่น ต้องส่งคำสั่งล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน หรือ มีเพดานการซื้อจำกัดจำนวน แต่ก็ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่ทำให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลจีน จะปล่อยให้กลไลตลาดทำงานอย่างยืดหยุ่นมากขึ้น และเป็นผลดีต่อการสะท้อน Valuation ของราคาหุ้นในระยะยาว เนื่องจากนักลงทุนในประเทศเริ่มอยู่ในโหมดกลัวมากเกินไป (Overfear) และไม่กล้าลงทุน
ข่าวที่สอง ที่ทำให้หุ้นจีนดูน่าสนใจขึ้นไปอีกก็คือ การประกาศลดดอกเบี้ยลงครั้งแรกในรอบ 2 ปี ของ PBOC เนื่องจากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ และแรงกดดันฝั่งเงินเฟ้อลดลงหลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการอาศัยจังหวะที่ค่อนข้าง Surprise ตลาดที่เลิกหวังกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ที่ก่อนหน้านี้ กังวลเหลือเกินกับฟองสบู่ … แต่ Action ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า Policy Maker นั้นติดตามข่าวคราวเศรษฐกิจโลก และพยายามอาศัยจังหวะที่เหมาะสมเพื่อส่งสัญญาณในจุดที่ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นได้ค่อนข้างดี เหตุนี้ พอลดดอกเบี้ยปั๊บ ตลาดหุ้นจีนก็พุ่งขึ้นทำ Pattern บั้งไฟพญานาคทันที
กองทุนในไทยที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนส่วนใหญ่เป็นตลาด H-Share ในฮ่องกง ซึ่งโดนกดดันอีกข่าวจากการประท้วง Occupy Central มาซักระยะ ทำให้คุณอาจเห็นว่า ราคาไม่วิ่งมันส์อย่างกองทุนที่ไปลงทุนอ้างอิงกับตลาดหุ้น A-Share โดยตรงนะครับ
ถ้าจะถามผมต่อว่า ยังเหลือโอกาสให้กระโดดขึ้นขบวนอีกไหม?
ขอตอบตามตรงเลยว่า “ได้” แต่ต้องคำนึงถึงความเสี่ยง และกระจายมันอย่างเหมาะสม ในพอร์ตการลงทุนที่เราคิดมาดีแล้ว (ยกตัวอย่าง พอร์ตนักลงทุนที่ไม่เสี่ยงมาก อาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนลงทุนในจีนซัก 5-10% ของพอร์ต ก็พอ)
แต่ทั้งนี้ ต้องอย่าลืมว่า 2 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้น A-Share วิ่งขึ้นมาแล้ว 25% แปลว่า ตรงนี้ อาจจะแพงในระยะสั้นไปแล้ว ซึ่งก็แล้วแต่การบริหารละครับ ว่าจะทยอยลงทุน หรือ รอให้มันปรับฐานแล้วค่อยซื้อ ผมเองก็ตอบไม่ได้ เพราะจังหวะที่ควรลงทุนที่สุด มันได้ผ่านไปแล้ว (บอกตอนนั้น ก็มีแต่คนกลัว มีแต่คนบอกผมว่า ไม่เอาๆ)
งั้นให้อีกตัวเลือกครับ H-Share ยังน่าสนใจ เพราะ Valuation ของราคาหุ้น ถือว่า Discount จาก Mainland ค่อนข้าง (ปัญหาก็อย่างที่บอกไป) ถ้าประท้วงกันจบ ราคาหุ้นสองตลาด ซึ่งเป็นหุ้นตัวเดียว ก็ควรจะเทรดที่ Valuation ใกล้เคียงกัน และถ้าจีนมันมีอนาคต หุ้นใน H-Share ก็ควรวิ่งขึ้นตามในระยะยาวด้วยเช่นกัน H-Share ถูกกว่าขนาดไหน ไปดูกราฟของ Reuter ครับ
เอาจริงๆ บทความนี้ ไม่ได้จะเชียร์ให้ซื้อหุ้นจีน ณ ตอนนี้นะครับ แค่จะมาบอกหลักคิด และมุมมองของตัวเองในช่วงที่ผ่านมา
ท่านที่กำลังคิดว่า อ้าว แล้วมาบอกอะไรตอนนี้ฟร่ะ!!
ไม่ว่าผมบอกตอนไหน คนมองโลกในแง่ร้ายก็ด่าผมอยู่ดีครับ
บอกก่อน ก็บอกว่า เชียร์มั่ว น่ากลัว ไม่กล้าลงทุน
บอกหลัง ก็บ่น เข้าไม่ทัน เสียใจ
ลำบากเนอะ ^^