ออกตัวอย่างนี้ก่อนนะครับว่า ส่วนตัวแล้ว ผมลดพอร์ตกองทุนจีนทั้ง A Share และ H Share ออกไปแล้ว เหลืออีกแค่นิดหน่อยติดไว้เท่านั้น
ถ้าจะถามว่าทำไมขายออก สาเหตุก็เพราะ ผมทยอยสะสมกองทุนจีนตั้งแต่ ต.ค. ปีที่แล้วมาเรื่อยๆ และมันก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ผลตอบแทนรวมเกินกว่า 50% ของเงินต้นที่ลงทุน ผมพอใจแล้วครับ
แต่อัพเดทนี้ ก็เพื่อจะให้มุมมองสำหรับคนที่สนใจจะลงทุนในจีนต่อ หรือคนที่ยังถืออยู่แล้วเริ่มไม่มั่นใจว่าจะเอายังไงดี เหมือนเดิมนะครับ ใช้เป็น Q&A เหมือนคุณคุยกับผม น่าจะเป็นการสื่อสารที่ง่ายดี
Q : ตลาดหุ้นจีน กำลังกลับเป็นขาขึ้นได้ยาวๆ 3-5 ปี เหมือนที่ Dow Jones และ S&P500 เป็นมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมาได้ไหม?
A : ผมมองว่ายากครับ ถ้าดูที่ตลาด A Share ณ ตอนนี้หลังการ Rally ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา Valuation ณ ระดับปัจจุบัน แพงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั้นแปลว่า ตลาดวิ่งไปก่อน แต่ EPS Growth โตไม่ทัน ต้องรอเวลาครับ ถ้าเทียบระหว่าง A Share กับ H Share ตอนนี้ผมก็ยังมองว่า H Share น่าสนใจมากกว่า ในแง่ของตลาดที่วิ่งขึ้นมาไม่แรง และ Valuation ไม่ได้แพงน่าเกลียดอย่าง A Share
Q : ถ้า A Share แพง แล้วเกิดมีปรับฐานจริงๆ H Share ก็ต้องลงด้วยดิ?
A : จริงครับ นั้นเป็นสาเหตุที่ผมลดพอร์ตจีนลงทั้ง 2 ตลาด เพราะนับตั้งแต่ปี 2007 ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ทั้งสองตลาดมี Correlation ที่สูง (ใบ้หน่อยก็ได้ว่าที่เหลือตอนนี้ เหลือแต่ H Share) มีข้อมูลที่น่าสใจคือ ตอนนี้ turnover-to-market cap ratio ของตลาด H Share ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมาขึ้นมาที่ระดับ 86% สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ และมูลค่าการซื้อขาย เกือบสูงเท่ากับก่อนวิกฤต Subprime เสียอีก นั้นเป็นเพราะ A/H China Connect นั้นทำให้นักลงทุนในจีน หนีเอาเงินออกมาลงทุนใน H Share ต่อเนื่อง ถ้าตลาดหุ้นจีน A Share ยังไปได้ต่อ จะยิ่งทำให้มี Valuation Gap เพิ่มขึ้น ผมเลยมองว่า น่าจะเป็นผลดีต่อ H Share เช่นกัน แต่ถ้าเกิด A Share ปักหัวลง ปรับฐาน ก็เชื่อว่า H Share จะลงเบากว่า ดังนั้น H Share จึงน่าสนใจกว่าในช่วงที่ตลาดนั้นขึ้นมาแรงได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว
Q : พูดถึงตลาดบูมรอบที่แล้วปี 2007 วันนี้ มีอะไรเหมือนวันนั้นไหม (ฟองสบู่จะแตกหรือเปล่า ว่างั้นเถอะ) ?
A : หุ้น Big Cap ทั้งใน A และ H Share ถือว่ายังไม่แพงเลยครับ แต่ที่น่ากลัวคือหุ้นขนาดเล็กใน A Share ซึ่งค่า PE แซงหน้าปี 2007 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกข้อมูลหนึ่งที่เห็นแล้วอาจขนลุกเล็กน้อยคือ บัญชีซื้อขาย Margin ในจีนแผ่นดินใหญ่ ปัจจุบันเกิน 3% ของ Market Cap ไปแล้ว สูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกหมดเลย แต่เทียบกับปี 2007 ไม่ได้ เพราะตอนนั้น กลต. ที่โน้นยังไม่เปิดให้มี Margin Account
เหมือนเป็นอย่างงี้ ต้องระวังครับ ตลาดหุ้น A-Share ลงแค่เพียง 5% ก็อาจมีนักลงทุนโดน Force Sell จากบัญชีซื้อขายเหล่านี้ แล้วทำให้กลไลตลาดเสียเกิด Panic Sell ตามมาก็ได้ ต้องระวังๆ
Q : A Share ดูแพงแบบนี้ แต่นักลงทุนอยู่ในโหมดคึกคัก อย่างนี้ซื้อ H Share แทนยังทันไหม?
A : ถ้าอยากได้หุ้นจีนในพอร์ต ตอนนี้ผมแนะนำ H Share มากกว่าครับ ยิ่ง A Share แพงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่สมมติตลาดยังไม่เลิกเล่น เราจะยิ่งเห็น Gap ของราคาหุ้นในสองตลาด ทำให้หุ้นใน H Share จะน่าสนใจตามมาเอง และยิ่งเปิดตลาดเสรี ก็ยิ่งทำให้นักลงทุนที่เห็นโอกาสแบบนี้ จะเข้ามาดันราคาให้ไม่เกิดส่วนต่างค่อนข้างแน่นอน
เอางี้ หา Target ปลายปีของ H Share กันหน่อย
สมมติให้ H Share (HSCEI) ขึ้นไปเทรดที่ P/E ซัก 9 เท่า ให้ EPS Growth ปีนี้โตซัก 5% เราก็น่าจะเห็นดัชนีขึ้นไปที่ 15,000 จุด หรือ Upside Gain ราวๆ 7-8% เห็นไหมครับ ผมเก็บกำไรมาแล้วเกิน 50% เหลือ Upside แค่นี้ กับความเสี่ยงที่เห็น ก็เลยขอขายออกมาก่อนจะดีกว่า (แต่ผมอาจจะขายหมูก็ได้นะ)
ถ้าคุณหาการลงทุนอื่นที่มี Upside มากกว่านี้ไม่ได้ จีนก็เหมาะไว้กระจายความเสี่ยง ถึงแม้มันจะช้าไปหน่อยก็ตาม แต่เชิงสัญญาณทางเทคนิค ผมว่ารอ H Share ยืนเหนือ 14,300 จุด ค่อยเริ่มเก็บ หรือรอต่ำกว่านี้น่าจะดีกว่า
โชคดีในการลงทุนครับ