ท่านผู้อ่าน คงรู้จักคำว่า “Mega Trend” ใช่ไหมครับ? คำว่า Mega Trend นั้นหมายถึง ธุรกิจ หรือแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวที่จะกินเวลาไปอีกอย่างน้อย 10-20 ปี ซึ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว สิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องมองให้ออก เพราะ การลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพดี นั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ยิ่งถ้าบริษัทนั้น ทำธุรกิจซึ่งอยู่ใน Mega Trend มีการเติบโตของตลาดในระดับที่สูงด้วยละก็ มันก็จะกลายเป็นปัจจัยหนุนให้กำไรบริษัทโตอย่างก้าวกระโดด และแน่นอน ราคาหุ้นก็จะสะท้อนผลประกอบการ และสร้างผลตอบแทนให้เราได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ขอเล่าถึง 1 ใน Mega Trend ที่มาแรงตัวหนึ่งนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2011 เป็นต้นมา นั้นคือ “สังคมผู้สูงอายุ” (Aging Society) นะครับ
ในอนาคต ผู้สูงอายุ จะมีสัดส่วนต่อประชากรที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว สาเหตุก็มาจาก การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ (ชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น) สังคม (เป็นครอบครัวเล็กลง มีลูกน้อยลง) และเทคโนโลยีรวมถึงความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ (รักษาโรค และสุขภาพได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ส่งผลทำให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งจากการสำรวจของ Harvard Business School พบว่า Life Expectancy หรือ อายุขัยของประชากรโลก จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่อยู่เฉลี่ยที่ 76.6 ปี จะขึ้นไปเป็น 83.9 ปี ภายใน 30 ปีข้างหน้า ในอเมริกา US Census Bureau ก็ได้ทำประมานการณ์จำนวนประชากรที่มีอายุมากกว่า 85 ปี ไว้ ประมานการณ์ก็ค่อนข้างน่าตกใจนะครับ เพราะเขาคาดว่า จำนวนคนอเมริกา จะเพิ่มขึ้นเป็น 21 ล้านคน ภายในปี 2050 โดยคิดเป็นจำนวนถึง 5% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ ซึ่งถือว่าสูงมาก หากมองว่า ปัจจุบันมีแค่ 2% เท่านั้น
แล้วพอคนสูงอายุเพิ่มมากขึ้น มันจะเป็นอย่างไรต่อ?
ที่เห็นชัดเจนเลยก็คือ ค่าใช้จ่ายของคนสูงอายุ จะหนักไปทางค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ใช่มั้ยครับ ดังนั้น ถ้ามีคนใช้จ่ายเรื่องนี้เยอะขึ้น ก็เท่ากับเป็นโอกาสในอนาคตแน่นอน ตัวเลขที่ทาง CEA ทำการคาดการณ์ไว้ พบว่า ภายในปี 2040 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนอเมริกา จะเพิ่มขึ้นเป็น 35% ของ GDP ทั้งประเทศทีเดียวเชียว
ถ้าไปเอาจากแหล่งข้อมูลอื่น ก็ยืนยันคล้านกันครับ Deloitte Touche Tohmatsu Limited (DTTL) Global Life Sciences and Health Care Industry Group analysis of United Nations data statistics บอกว่า โลกเรานี้ (ไม่ใช่แค่อเมริกาแล้วนะ) ในอดีตที่ผ่านมา อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ (อายุสูงกว่า 60 ปี) อยู่ที่ระดับ 1.9% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรรวมที่ 1.2% และอัตราการเพิ่มของผู้สูงอายุนี้จะเพิ่มขึ้นอีกทุกๆปีหลังจากนี้ โดยรวมทั้งโลกแล้ว จำนวนประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 3
เท่าในทุกๆ 50 ปี และคาดว่าจะมีจำนวนเกือบ 2,000 ล้านคนในปี ค.ศ. 2050 ทีเดียว
เวลานึกถึงประชากรสูงอายุ คุณว่า ประเทศไหนที่คนมีอายุยืนยาวมากที่สุดครับ?
แน่นอนว่า แทบทุกคน เอ่ยชื่อ ประเทศญี่ปุ่น ออกมาก่อนเป็นประเทศต้นๆแน่นอน ถ้าเทียบเป็นสัดส่วนประชากรแล้ว เขาบอกว่า ประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปในญี่ปุ่น จะมีจำนวนถึง 1 ใน 4 ของประชากร หรือมีจำนวน 35 ล้านคนในปี 2025 ทีเดียว แต่ประเทศที่ประชากรสูงอายุเยอะที่สุดนั้น คือกลุ่มยูโรโซน ซึ่งปัจจุบัน เกิน 1 ใน 4 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่า สูงถึง 37% ของประชากรทั้งหมด จะมีอายุ 60 ปีขึ้นไปในปี 2050 เชื่อว่า ประเทศอื่นๆ ก็อยู่ในทิศทางเดียวกันครับ
จริงๆ จำนวนประชากรสูงอายุนั้น จะมีสัดส่วนพุ่งสูงขึ้นมากกว่า ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เพราะ 3 ปัจจัยเกื้อหนุนนั้น มากันครบหมด คือ ทั้ง การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีรวมถึงความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ ในขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนานั้น ปัจจัยบางอย่างก็ยังไม่ครอบคลุมประชากรทั้งหมด
นั้นคือด้านโครงสร้างประชากร นะครับ ซึ่ง แค่นี้ น่าจะตอบคำถามที่ถามว่า ลงทุนในธุรกิจเพื่อสุขภาพ (Healthcare) ช้าไปหรือไม่? ได้แล้วว่า Mega Trend นี้ จะอยู่กับเราไปอีกนาน คนเรายอมจ่ายเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นแน่นอน ถ้ามีปัญญาจ่าย ดังนั้น การลงทุนของเรา หากมีกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ไว้ในพอร์ตบ้างก็เป็นเรื่องที่ดีทีเดียว
ไปดูข้อมูลด้านการรักษาโรคกันบ้าง เขาบอกว่า หลังจากนี้ โรคที่เกิดขึ้นนั้น Trend การรักษามันก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน เปลี่ยนยังไง ตามนี้ครับ
1. ความซับซ้อนของสังคม การเป็นสังคมเมือง มันทำให้โรคระบาด (Pandemic) กระจายไปในวงกว้างได้มากขึ้น เร็วขึ้น อย่างช่วงปี 2009-2011 นั้น มีผู้ติดเชื้อ H1N1 เกินกว่า 85 ล้านคน ในโรงพยาบาลทั้งหมดเกินกว่า 250,000 แห่ง
2. สิ่งแวดล้อมที่เป็นมลภาวะสูงขึ้น จาก คุณภาพน้ำบางแห่ง อากาศเป็นพิษ อาหารตัดต่อพันธุกรรม เหล่านี้ องค์การอนามัยโลกบอกว่า มีผู้เสียชีวิตปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้าน จากสาเหตุดังกล่าว
3. การผ่าตัดแบบเสี่ยง มีเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตสูงๆ อย่างทำ Bypass หัวใจ ซึ่งก่อนหน้านี้ โอกาสเสียชีวิตอยู่ที่ 3% ซึ่งถือว่าสูงกว่า จนต้องให้คนไข้เซ็นยินยอมไม่ให้ญาติฟ้องร้อง กรณีคนไข้เสียชีวิตนั้น คาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า จะลดเหลือ 1.5% เท่านั้น
4. คนเรา จะยอมบินไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ มากขึ้น เพราะ a) ค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน และ b) ความชำนาญที่สูงกว่า (แพงเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย)
ลองรวมๆเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลอีกทีนะครับ สังคมผู้สูงอายุ รายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ และความเสี่ยงต่อโรคใหม่ๆที่มีอยู่ทุกวัน ปัจจัยเหล่านี้น่าจะเพียงพอที่จะบอกว่าการลงทุนใน Healthcare Sector ถือเป็นทางเลือกที่เราสามารถฝากฝังพอร์ตการลงทุนไว้ได้ในระยะยาวทีเดียว
คราวนี้ มาถึงคำถามสำคัญละ แล้วจะไปลงทุนในหุ้นตัวไหนดี????
ถ้าคุณมองแค่ในเมืองไทย ก็คงหนีไม่พ้นธุรกิจเโรงพยาบาล อย่างหุ้น BGH, BH, BCH และหุ้นอุปกรณ์การแพทย์บางตัว ซึ่งในมุมมองของผม ตลาดหุ้นไทย มีหุ้นให้เลือกลงทุนใน Healthcare ไม่เยอะครับ และบางตัว ก็อาจจะแพงเกินไปในแง่ของ PE
จริงแล้ว ในโลกนี้ มีหุ้นกลุ่ม Healthcare ดีๆอีกหลายประเภท ทั้งผู้ผลิตยา และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) ที่ผลิตยาทั้งรักษาโรคร้าย ยากำพร้า ฯลฯ ซึ่งทางเลือกที่คุณผู้อ่านสามารถไปลงทุนนั้น เอาให้ง่ายที่สุด ก็สามารถไปลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ครับ
ปัจจุบัน มีทั้งหมด 3 เจ้า ที่มีนโยบายการลงทุนในกลุ่ม Healthcare ทั้งโลก คือ BCARE ของ บลจ.บัวหลวง , PHATRA GHC ของ บลจ.ภัทร และ ที่กำลังจะเสนอขายเปิด IPO คือ KF-HEALTHD ของ บลจ.กรุงศรี
ขออนุญาตพาไปดูผลการดำเนินงานย้อนหลังของกอง Master Fund ที่ชื่อ JPMorgan Global Healthcare ของ KF-HEALTHD ของ บลจ.กรุงศรี นะครับ
ต้องบอกว่า กราฟสวยจริงๆ แต่เอ๊ะ??? ตรงนี้ มันจะดอยรึเปล่าเนี่ย ผ่านมา 5 ปี ขึ้นอย่างเดียวเบยยย
ไว้จะพาไปแกะพอร์ตดูข้างใน เขาไปลงทุนอะไรกันบ้าง
วันนี้ พอแค่นี้ก่อนนะครับ ^^