Peter Lynch นั้นได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลกการลงทุนในยุคนี้ ตัว Peter Lynch ได้เขียนหนังสือซึ่งเหมือนเป็นคัมภีร์ในการลงทุนที่ชื่อว่า “ONE UP ON WALL STREET” ซึ่งรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ของตัวเขาเองไว้ในหนังสือเล่มนี้
ที่จะเอามาเล่าให้ฟังก็คือ ในหนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงทฤษฏีอันหนึ่ง ซึ่งปีเตอร์เป็นคนตั้งขึ้นมา และดูเหมือนว่าจะใช้ได้จริงในเกือบๆทุกตลาดหุ้นทั่วโลกด้วยสิ (ถ้าประเทศนั้นมี Coktail Party นะ)
ทฤษฏีนี้ Peter Lynch ให้ชื่อว่า “Cocktail Theory” นั้นเอง
ทฤษฏีนี้ เอาไว้พยากรณ์ว่าตลาดหุ้นอยู่ในช่วงไหนของวัฏจักรด้วยการไปยืนอยู่ที่กลางห้องจัดเลี้ยงงาน Cocktail หรูๆซักแห่ง แล้วคอยฟังว่า คนในงานเข้ากำลังพยายามพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ โดยแบ่งออกเป็น 4 ช่วงภาวะตลาด อ่านดูแล้วงงกันไหมครับว่ามันทำนายได้จริงหรอ… ลองไปดูกันว่านักลงทุนระดับโลกคนนี้เขามองยังไง
ช่วงแรก ของขาขึ้นของตลาด ช่วงนั้นตลาดหุ้นจะยังผันผวนขึ้นบ้างลงบ้าง สลับเป็นฟันปลา และอาจจะลงมากกว่าขึ้นด้วยซ้ำ ช่วงนี้หัวข้อของการสนทนาของคนในงานจะเป็นเรื่องทั่วไป ไม่เกี่ยวกับตลาดหุ้น เมื่อมีใครเดินเข้ามาถาม Peter Lynch ว่า คุณทำอาชีพอะไร และเขาตอบไปว่า เป็น Fund Manager ในตลาดหุ้น คนส่วนใหญ่จะเดินหนี และเลือกที่จะไปคุยกับหมอฟันมากกว่า (ฮาๆๆ) ถ้าเจออย่างนี้เมื่อไหร่ ตลาดหุ้นกำลังจะเป็นขาขึ้นแล้วครับ
ช่วงที่สอง เมื่อตลาดหุ้นขึ้นมาแล้วประมาณ 15% แต่มีแค่นักลงทุนบางคนที่เริ่มให้ความสนใจ คนจะเริ่มเข้ามาคุยกับ Fund Manager อย่างเขาบ้างว่า ตลาดผันผวนอย่างโน้นอย่างนี้ เสี่ยงแค่ไหนถ้าเข้าไปก่อนหน้า เสร็จแล้วก็จะเดินกลับไปคุยกับคุณหมอฟันตามเดิม
ช่วงที่สาม เมื่อตลาดหุ้นวิ่งขึ้นมาแล้ว 30% คนในงาน Cocktail จะหันมาหา Fund Manager และเริ่มถามหาวิธีเลือกหุ้น หาหุ้นเด็ด แม้แต่หมอฟันยังถามเรื่องหุ้นเลย ซึ่งนั้นแปลว่า แทบทุกคนมีการลงทุนในหุ้นไม่เยอะก็น้อยตามความเสี่ยงกันหมดทุกคน ตรงนี้แสดงว่าตลาดวิ่งมาจนไกลสุดทางแล้วครับ
ช่วงที่สี่ ในช่วงนี้ Fund Manager ยังคงเป็นดาราในงาน เพราะมีคนเข้ามาคุยด้วยเรื่องหุ้น แต่แทนที่จะถามหรืออยากได้รับคำแนะนำในการลงทุน กลายเป็นว่า คนในงานบอก และ แนะนำ Fund Manager ว่าควรซื้อหุ้นตัวไหนซะเอง (- -“) แม้แต่หมอฟันคนเก่ง Peter Lynch บอกว่า นี้เป็นสัญญาณว่า ตลาดหุ้นใกล้หมดรอบขาขึ้นแล้ว นักลงทุนควรเริ่มทยอยขายทำกำไรออกจากตลาด
โดยสรุปก็คือ นักลงทุนทุกคนจะเป็นส่วนหนึ่งของวงจรตลาดหุ้นตลอดเวลา อารมณ์ของนักลงทุนแต่ล่ะคน รวมๆกัน ก็จะกลายเป็นอารมณ์ตลาด ที่เราเรียกกันว่า “Sentiment” เราจะอารมณ์ดี เมื่อพอร์ตเราเขียว เราจะเบื่อหน่ายและไม่อยากพูดถึงการลงทุน ถ้าเราเจ็บตัวจากมัน แต่ตัวอารมณ์ของนักลงทุน ไม่ได้บอกว่าราคาหุ้น ณ ตรงนั้น ถูกหรือแพง แต่นักลงทุนกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือ อยากซื้อหุ้น เมื่ออารมณ์ดี และเราก็อารมณ์ดีเฉพาะตอนที่หุ้นมันวิ่งขึ้นมาแล้วแทบจะทุกครั้ง นั้นจึงเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มองในอีกมุมหนึ่ง เมื่อชีวิตมันแย่มากๆ มันก็มักเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆที่กำลังเข้ามา เมื่อชีวิตมันดีมากๆ เรื่องธรรมดาๆที่เข้ามาหลังจากนั้น มันก็ดูจืดชืดลงไปในสายตาเราทันที ชาวพุทธเราถึงได้รับการสอนมาไงครับ ว่า “ไม่ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และไม่เสียใจทอดอาลัยกับสิ่งที่เสียไป” วางใจเป็นกลาง และตัดสินใจเลือกทางเดินด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์
จริงๆแล้วตัว Peter Lynch เองก็ไม่ได้สนับสนุนการ Timing ตามอารมณ์ของคนส่วนใหญ่ว่าตลาดอยู่ในช่วงไหนนะครับ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จก็คือ “การลงทุนกับบริษัทที่ดี” นั้นก็เพียงพอแล้ว
ขอพูดถึง Technical Analysis ซักเล็กน้อย ในฐานะนักลงทุน และผู้ที่อยู่ในแวดวงการลงทุนมาระยะหนึ่ง การ Timing ตลาด หรือการใช้ Technical Analysis ถือเป็นดาบสองคมสำหรับผู้ที่ไม่มีความชำนาญ เพราะขึ้นอยู่กับจินตนาการ กับประสบการณ์การมองของนักลงทุนแต่ละท่านค่อนข้างสูง ผมพิมพ์ไม่ผิดครับ จินตนาการ นี้สำคัญกว่าความรู้นะครับ Einstein ก็เคยบอกไว้ (ฮาๆ) และมันก็ไม่ได้ให้คำตอบแก่เราทั้งหมด 100% เป็นได้ก็แค่ Roadmap ในหัว เพื่อใช้วางแผนการลงทุนต่อไป
โชคดีในการลงทุนครับ