JAS

หากจะมีการจัดอันดับหุ้นที่มี “คนเล่น” มากที่สุดตัวหนึ่งในตลาดหุ้นไทย หุ้นจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS (บางคนตั้งชื่อว่าหุ้นแจ๊ซซิ่งนรก) ย่อมติดอยู่ในโผอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปีนี้ (2559) ต้องยอมให้เป็นปีของ JAS เลยก็ว่าได้ เพราะหุ้นตัวนี้ตัวเดียว ทำให้นักลงทุนเป็นเศรษฐีใหม่หรือหมดตัวได้ภายในปีเดียวเท่านั้น!!

จากราคาต่ำสุดที่ 3 บาท กลับวิ่งขึ้นไปทำราคาสูงสุดใหม่ (All-Time High) ที่ราคา 10.20 บาท ชนิดที่หลายคนคงตกตะลึง เพราะยังช๊อคกับการทิ้งใบอนุญาตประมูล 4G ที่ได้มาอยู่เลย แต่ราคาหุ้นกลับวิ่งแบบม้วนเดียวจบขึ้นไปแบบ 3 เด้ง และล่าสุด เบรคแตกโดนทุบกลับมาป้วนเปี้ยนแถวราคา 7-8 บาท

ผมอยากจะยกให้ JAS เป็น “หุ้นแห่งทศวรรษ” ของตลาดหุ้นไทยไปชนิดไร้คู่แข่ง นับตั้งแต่ปฐมบทของตำนานเริ่มขึ้นในปี 2551 ซึ่งเป็นปีที่ “พิชญ์ โพาธารามิก” ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งซีอีโอแทนพ่อ “อดิศัย โพธารามิก” หุ้นตัวนี้ก็ได้สร้างตำนานบทใหม่อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 8 ปี

มั่นใจได้ว่า คนที่อยู่ในตลาดหุ้นไทย (ซื้อๆขายๆประจำและนานๆทีซื้อที) เกิน 90% ต้องเคยมีหุ้นตัวนี้ในพอร์ตอย่างแน่นอน หลายคนเป็นเศรษฐีตามเจ้าของ แต่หลายคนก็พอร์ตระเบิด

จากกราฟย้อนหลัง 8 ปี คนที่เล่นหุ้นตัวนี้มีโอกาส “รวย” ถึงสามครั้งด้วยกัน ครั้งแรก จากราคา 0.40 บาท ไปเกือบๆ 4 บาท ครั้งที่สองจากราคา 1.5-2 บาท ไป 10 บาทและล่าสุดเกิดขึ้นปีนี้ จากราคา 3 บาท ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุด (ดอย) ใหม่ที่ 10.20 บาท

สาเหตุที่ผมยกให้ JAS เป็นหุ้นแห่งทศวรรษ เพราะเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนต่อการที่จะสร้างให้คนที่เล่นเป็นเศรษฐี ดังนี้

1.) เทิร์นอะราวนด์ในเชิง Business Model

ก่อนหน้าที่ พิชญ์ จะเข้ามาบริหาร JAS เคยดำเนินกิจการเป็นผู้ประมูลและรับจ้างทำงานด้านโทรคมนาคมมาก่อน เช่น วางระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีลูกค้าสำคัญเป็นหน่วยงานภาครัฐ ที่สำคัญต้องแบกรับผลขาดทุนกว่า 21,135 ล้านบาทของ บมจ.ทีทีแอนด์ที (TT&T) ซึ่งตอนนี้ Delist ออกจากตลาดไปแล้ว (ขาดทุนจากการรับจ้างวางโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ล้าสมัยไปตั้งนานแล้ว)

ผลงานชิ้นโบว์แดงของ พิชญ์ คือการปลุกปั้นธุรกิจอินเทอร์เนตบรอดแบนด์ ในชื่อ 3BB ออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์ยุคสมัยแห่งเทคโนโลยีอย่างถูกที่ถูกเวลา จากยุคที่ใช้โมเด็มในการเชื่อมต่อมาเป็นอินเทอร์เนตความเร็วสูง นอกจากนี้เทคโนโลยีของ 3BB ยังใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานของ TT&T ที่มีอยู่ติดบ้านพักอาศัยของคนทั้งประเทศอยู่แล้ว กล่าวง่ายๆคือคนทั่วไปสามารถเป็นลูกค้าของ 3BB ได้โดยง่าย โดยไม่ต้องเดินสายใหม่

ในบรรดาผู้ให้บริการอินเทอร์เนตบ้าน 3BB สามารถครองตลาดอันดับหนึ่งมาได้ตลอด (แม้จะมีเสียงบ่นเรื่องความช้าและบริการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าดีที่สุดในตลาดแล้ว)

ตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2555 ธุรกิจอินเทอร์เนตบรอดแบนด์ของ JAS คือผู้ผลักดันราคาหุ้นให้วิ่งจากราคาประมาณ 1.5-2 บาท ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 10 บาท ในช่วงกลางปี 2556 โดยใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี ประกอบกับสภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงนั้นเป็นกระทิงเต็มตัว หุ้น JAS จึงแทบจะขึ้นขาเดียวมาตลอดทาง

ต้องยอมรับว่า พิชญ์ เข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจจนทำให้ JAS ถูกมองว่าไม่ใช่รถญี่ปุ่นธรรมดา แต่ถึงขั้นรถสัญชาติยุโรปได้สบายๆ อีกทั้งยังแตกแขนงมาทำธุรกิจทีวีดิจิทัลในชื่อ MONO ก็สามารถครองอันดับต้นๆในเรื่องของเรทติ้งได้อีก

เหตุผลสำคัญที่ JAS เป็นหุ้นดาวเด่นได้ ต้องยอมรับในฝีมือการพลิกธุรกิจของพิชญ์ โดยไร้ข้อโต้แย้ง

จุดน่าตำหนิของ JAS น่าจะมีเพียงแค่เรื่องการชักดาบใบอนุญาต 4G ที่ประมูลได้มา แม้จะอ้างถึงเรื่องแบงก์การันตีที่ผิดแผน แต่ก็ถือว่าสร้างความเสียหายไม่ใช่น้อย

2.) เจ้าของหุ้นอาสาเป็น “เจ้ามือ” เอง

นอกจากการปั้นพื้นฐานกิจการแล้ว พิชญ์ ในฐานะซีอีโอและผู้ถือหุ้นใหญ่ยังอาสาเป็น “เจ้ามือ” ด้วยตัวเอง นับตั้งแต่วินาทีแรกที่นั่งบริหาร (โดนคุณพ่อเรียกกลับจากเมืองนอก) พิชญ์ โชว์ฝีมือ “รวบหุ้น” ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงกรกฎาคม 2551 เขาเข้าไปเก็บหุ้นตัวเอง ตั้งแต่ราคา 0.42 บาท ใช้เงินไปเบาๆ 88 ล้านบาท และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการขึ้น 10 เด้ง เป็นครั้งแรก ประกอบกับการได้กลุ่มนักลงทุนวีไอเข้ามาถือหุ้น ยิ่งตอกย้ำความเป็น TurnAround Stock ได้เป็นอย่างดี (เวลาต่อมากลุ่มวีไอได้จากหุ้นตัวนี้ไปและกลายเป็นเทรดเดอร์ที่เข้ามาเก็งกำไรแทน แต่วีไอกลุ่มนี้ก็สามารถตั้งตัวได้จากหุ้นตัวนี้แค่ตัวเดียว)

ไม่นานมานี้ พิชญ์ ได้ประกาศทำ Tender Offer หุ้น JAS ทั้งหมด ที่ราคา 7.25 บาท สรุปแล้วมีนักลงทุนรายย่อยขายหุ้นให้ พิชญ์ จนเขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รวม 72.35% โดยเกมส์ในกระดานทั้งหมดที่ผ่านมาได้ที่ปรึกษาชั้นดีอย่าง “ชาญ บูลกุล” หรือ มาชานลี มือการเงินระดับเซียนเป็นกุนซือ

แน่นอนว่า หุ้นที่มีเจ้าของเป็นฝั่ง “ซื้อ” ข้างเดียว (อาจจะมีขายไปบ้างแต่หลักๆคือซื้อ) ย่อมเรียกแขกได้เป็นอย่างดี ตรงข้ามกับหุ้นที่ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่เคยลงมายุ่งเกี่ยวเลยหรือขายตลอดทาง หุ้นแบบไหนที่นักลงทุนควรจะเลือก การกวาดหุ้นอย่างต่อเนื่องของพิชญ์ ส่งให้เขาขึ้นแท่นเศรษฐีหุ้นเมืองไทยในสิบอันดับแรกมาอย่างต่อเนื่อง

3.) รู้จักใช้เครื่องมือทางการเงิน

ต้องยอมรับว่า JAS เป็นกรณีศึกษาของการใช้เครื่องมือและวิศวะกรรมทางการเงินในตลาดหุ้นได้ครบเครื่องที่สุด เช่น การซื้อหุ้นคืนที่ราคา 5 บาทพร้อมปันผลพิเศษหลังสละใบอนุญาต 4G เพื่อเป็นการแก้ลำที่หุ้นถูกถล่มขายอย่างหนัก ในอดีต JAS ยังเคยใช้วิธีเพิ่มทุนและออก JAS-W3 ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีการตั้งกองทุน Infrastructue ในชื่อ JASIF ทำให้มีกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน รวมแล้วบริษัทมีกำไรสุทธิ 15,710 ล้านบาท ในปี 2558 เทียบกับปี 2557 ที่มีกำไรปกติเพียง 3,270 ล้านบาท ถือเป็นเกมส์ที่เข้ามาช่วย “พยุง” ราคาหุ้นโดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน เพราะกำไรที่รับเข้ามาทำให้ค่า P/E ถูกดึงลงมา

บริษัทใดที่ผู้บริหารรู้จักการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างถูกทางและไม่ไปรบกวนผู้ถือหุ้น จะช่วยผลักดันมูลค่าของกิจการและราคาหุ้นให้ไปได้ไกล ต่างจากบริษัทที่กู้เงินธนาคารมาลงทุนเพราะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูง

บทสรุปก็คือ

นักลงทุนและเทรดเดอร์อย่างเราๆ มองหาหุ้นที่มีคุณสมบัติทั้งสามข้อนี้เอาไว้ครับ โอกาสที่จะเป็นเหาฉลามรวยไปกับเขาด้วยก็มีสูง ขอย้ำว่าบทความนี้ไม่ได้เจตนาว่าควรยกย่องหุ้น JAS รวมถึงการบริหารของพิชญ์ในช่วงที่ผ่านมา เพียงแต่ JAS มีคุณสมบัติหลายประการสำหรับหุ้นที่จะสามารถวิ่งขึ้นไปได้หลายๆเด้ง

ย้ำอีกที บทความนี้ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อหรือขายหุ้น JAS เพียงแต่เป็นการวิเคราะห์เส้นทางเดินของหุ้นตัวนี้ในอดีต เพื่อให้มองเห็นว่าการสร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นในมุมของผู้ถือหุ้นใหญ่ เขาทำกันอย่างไร และรายย่อยอย่างเราเรียนรู้อะไรได้จากหุ้นมหัศจรรย์ตัวนี้

Monkey Money