Aramco เป็น หุ้นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดิอาระเบียที่มีกำไรสุทธิที่มากที่สุดในโลก และมีสำรองน้ำมันมากที่สุดในโลก
โดยทิ้งห่างจากอันดับ 2 ถึงเกือบ 10 เท่า และจะเป็นหุ้นที่มี Market Cap ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ดังรูปที่ 1
ด้วยมูลค่าตลาดที่ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ หุ้น Aramco ใหญ่กว่าแอปเปิ้ล ไมโครซอฟต์ กูเกิล และอะเมซอน Big 4 ในแง่ของมูลค่าตลาด
รูปที่ 1 มูลค่าการตลาดของหุ้น Big5 ของโลก
โดยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้ประกาศแบบเป็นทางการว่า จะทำการ IPO หุ้น Aramco ในตลาดหุ้นทาดาวัล ในกรุงริยาร์ดของซาอุดิอาระเบีย โดยจะมีการเผยแพร่รายละเอียดเอกสารการนำเสนอหุ้นเพื่อการจองหุ้น Aramco ที่จะเข้าตลาด ระหว่าง 17 พ.ย. ถึง 4 ธ.ค.นี้ โดยราคาท้ายสุดของ Aramco จะประกาศ 1 วันหลังจากนั้น
ทั้งนี้จำนวนหุ้นของบริษัทมีทั้งหมด 2 แสนล้านหุ้น ตามเอกสารที่ได้ทำ Filing กับกลต.ของซาอุดิอาระเบีย ซึ่งได้เปิดเผยว่าจะมีการนำเสนอขายต่อสาธารณชนไม่เกิน 0.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด หรือ 1 พันล้านหุ้น จะเสนอขายต่อลูกค้ารายย่อย ทว่าไม่ได้ระบุว่าจะขายมากน้อยเท่าใดให้กับนักลงทุนสถาบัน
หากอ้างอิงแหล่งข่าววงในเกี่ยวกับกระบวนการ IPO ได้ระบุว่า ทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบียมีแผนที่จะขายหุ้นของบริษัทราว 1-3% ของทั้งหมด หรือ ระดมทุนประมาณ 2-6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าทางซาอุดิอาระเบียจะลดมูลค่ารวมหุ้นที่เคยเผยตัวเลขออกมาที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ให้เหลือราว 1.2-1.5 ล้านล้านดอลลาร์
รูปที่ 2 เปรียบเทียบตัวเลขทางการเงินของหุ้นบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของโลก
ทั้งนี้ มูลค่าตลาดที่ใหญ่ดังกล่าวได้รับการหนุนจากสำรองน้ำมันดิบมูลค่า 256.9 พันล้านบาร์เรล ซึ่งมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบใหญ่กว่า Exxon ที่มีสำรองเพียง 24 พันล้านบาร์เรลเท่านั้น นอกจากนี้ สำรองของ Aramco เป็นน้ำมันดิบถึง 88% ของสำรองทั้งหมด ในขณะที่ Exxon มีน้ำมันดิบเพียง 40% ของสำรองทั้งหมด นอกจากนี้ Aramco ยังมีกำไรสุทธิ 1.11 แสนล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว และ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ใน 9 เดือนของปีนี้ ถือว่าบริษัทมีกำไรสุทธิเยอะที่สุด เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ของโลก
นอกจากนี้ ตามเอกสาร Filing IPO ของ Aramco ยังให้สัญญาว่าจะจ่ายเงินปันผลต่อนักลงทุนปีละ 37.5 เซนต์ต่อหุ้น (คิดจาก 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์หารด้วย 2 แสนล้านหุ้น) ระหว่างปี 2020 – 2024 โดยอัตราร้อยละผลตอบแทนเงินปันผลที่ 5% ดังรูปที่ 2 ถือว่าสูงกว่าเพื่อนโดยส่วนใหญ่ ทว่าหากราคาน้ำมันดิบลดต่ำลง ราคาหุ้น Aramco ก็จะตกลง เนื่องจากนักลงทุนจะคาดการณ์ว่าเงินปันผลจะลดต่ำลงกว่า 37.5 เซนต์หลังปี 2024 ซึ่งตรงนี้ทำให้หุ้น Aramco คล้ายกับหุ้นบุริมสิทธิ์มากกว่าหุ้นสามัญ
หากพิจารณา Aramco ที่ราคา 7.5 ดอลลาร์ต่อหุ้น จะมีค่า P/E เท่ากับ 16 เท่า ด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้นในปีนี้ คาดไว้ที่ 46 เซนต์ ซึ่งต่ำกว่า Exxon และ Chevron แต่สูงกว่า BP และ Shell
โดยหากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทางนักวิเคราะห์ของเบิร์นสตีน คาดว่ากำไรสุทธิจะเท่ากับ 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2020 โดยปีนี้ คาดมีกำไรสุทธิ 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์ และหากราคาเบรนท์ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล Aramco จะมีกำไรสุทธิ 1.09 แสนล้านดอลลาร์ในปีหน้า
อย่างไรก็ดี มีความเสี่ยงใหม่ที่รัฐบาลซาอุดิอาระเบียต้องเผชิญ ดังนี้
หนึ่ง Shale Oil ได้เปลี่ยนอเมริกาให้เป็นผู้ผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการที่ Opec จะพยายามผลักราคาน้ำมันดิบให้สูงขึ้นไปอย่างมีเสถียรภาพ
สอง ซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้แรงงานที่มีอายุน้อยอยู่มาก ทว่าอุตสาหกรรมน้ำมันเน้นความต้องการทางด้านเงินทุนมากกว่าแรงงาน จึงไม่สามารถสร้างการจ้างงานให้กับซาอุดิอาระเบียได้มากนัก
สาม ความเสี่ยงจากอุปสงค์ของน้ำมันดิบที่จะเริ่มลดลงเรื่อยๆ โดยทาง Aramco คาดว่าอุปสงค์ของน้ำมันดิบจะเริ่มอิ่มตัวในปี 2035
นอกจากนี้ ในเอกสารที่เผยแพร่ต่อนักลงทุนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้กล่าวเตือนถึงความเสี่ยงของ Aramco เพิ่มเติมเกี่ยวกับความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การพึ่งพาต่อผู้บริโภคในเอเชียค่อนข้างมาก และความเสี่ยงด้านการก่อการร้ายและจลาจลเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งได้ทำให้กำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียลดลงถึงครึ่งหนึ่งในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ อัตราค่าภาคหลวง (Royalty Rate) ที่จะนำส่งเงินดังกล่าวให้กับรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย หากพิจารณาที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อัตราค่าภาคหลวงลดลงเหลือ 15% ในสัญญาใหม่ ทว่าเพิ่มเป็นถึง 45% เมื่อราคาน้ำมันดิบเบรนท์ระหว่าง 70-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และขึ้นเป็นถึง 80% เมื่อราคาน้ำมันดิบเบรนท์สูงกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นั่นหมายความว่าส่วน upside จะถูกเก็บกินโดยรัฐบาลซาอุฯ ทว่าหากมี downside ทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบียก็จะแชร์ร่วมกับนักลงทุน
การ IPO ของ Aramco ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยกระจายแหล่งรายได้อื่นๆ ที่หามาให้กับรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ก็อาจมองได้ว่า หรือนี่จะเป็นจุดไฮไลท์ที่จะบอกว่าจะไม่ใช่ยุคของ Hydrocarbon อีกต่อไป จึงทำให้ทางการซาอุดิอาระเบียหันมาแบ่งผลประโยชน์ให้กับนักลงทุนทั่วโลก?
MacroView
ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/648737