ในช่วงท้ายของปี 2018 ข่าวคราวด้านเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคหลักของโลก ออกมาในเชิงลบเสียส่วนใหญ่ บทความนี้ขอสรุปภาพดังกล่าว ดังนี้
เริ่มจากเศรษฐกิจยุโรป
มีปัจจัยที่ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นว่าการเติบโตของยุโรปในช่วงกลางปีนี้ อาจไม่สามารถยืนได้ในระยะยาว ดังนี้
หนึ่ง หากพิจารณาจากองค์ประกอบด้านอุปสงค์ของจีดีพี ชี้ว่าการลดลงของอุปสงค์สำหรับเศรษฐกิจยุโรปในปีนี้เป็นอานิสงก์มาจากผลของการลดลงการส่งออกสุทธิจาก 1.4 % ในปี 2017 กลายเป็นติดลบ 0.2% ในปี 2018 โดยสาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากการลดลงอย่างรุนแรงของการเติบโตทางการค้าโลกจาก 5.2% ในปีที่แล้ว เหลือ 4.2% ในปีนี้ หากพิจารณาจากปัจจัยภูมิศาสตร์ของการลดลงในรอบนี้ มาจากจีนและประเทศเกิดใหม่อื่นๆ โดยเยอรมันได้รับผลกระทบอย่างหนักในรอบนี้ แม้ในแง่ของการปกป้องทางการค้า ยุโรปในช่วงที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยก็ตาม อย่างไรก็ดี คงต้องจับตาต่อในอนาคต
สอง การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้อุปสงค์เติบโตผ่านนโยบายการเงินและการคลังมีการดำเนินการแบบต่อเนื่อง ทว่ามีการชดเชยให้ชะลอลงจากผลของอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมัน โดยผลบวกจากปัจจัยเหล่านี้ได้หายไป ในปี 2018
รูปที่ 1 ภาพรวมของจีดีพีอังกฤษหลังจาก Brexit เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ระยะยาวไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2016
ท้ายสุด ปัญหาเฉพาะตัวของเศรษฐกิจใน 2 ประเทศยุโรปหลัก ได้แก่ อิตาลี ที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างของอิตาลีกับเยอรมันได้สูงขึ้นกว่าในอดีตอย่างต่อเนื่องเนื่องจากตลาดมีความกังวลว่าความขัดแย้งระหว่างอิตาลีกับยูโรในประเด็นการใช้จ่ายและภาษีของรัฐบาลอิตาลีจะบานปลาย และ อังกฤษ ที่ Brexit ยังคงเป็นความไม่แน่นอนที่โอกาสจะจบแบบที่มีความเสียหายมีอยู่สูง เพียงแต่ว่าขนาดความเสียหายจะมากหรือน้อย
โดยธนาคารกลางอังกฤษ ได้ประเมินความเสียหายไว้ว่า หาก Brexit จบสวยความเสียหายในภาพรวมของจีดีพีอังกฤษ จะลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ระยะยาวไว้เมื่อเดือน พ.ค. 2016 ระหว่าง 1 ถึง 3 % สำหรับในกรณีที่ Brexit จบแบบไม่มีข้อตกลงและสิ้นสุดการเป็นสมาชิกของยูโรแบบกระทันหันหรือ No deal, No Transition จีดีพีอังกฤษ จะลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ในระยะยาวไว้เมื่อเดือน พ.ค.2016 ระหว่าง 7 ถึง 10.5% โอกาส จากรูปที่ 1 ในตอนนี้ ผมมองว่าโอกาสจบแบบเลวร้ายมีอยู่ราว 30%
หันมาดูเศรษฐกิจญี่ปุ่นกันบ้าง
แม้ว่าสถานการณ์การจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจญี่ปุ่น ถือว่าจะดูดีขึ้นมาก โดยพิจารณาจากระยะเวลาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะถือว่าต่อเนื่องมาถึง 70 เดือนติดต่อกันมาจนถึงในตอนนี้ ซึ่งถือว่ายาวนานมากสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ รวมถึงกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็เติบโตได้ดีทั้งบริษัทขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ อีกทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจก็สามารถทำได้แบบกระจายอย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ดี การเติบโตของค่าจ้างและ CPI กลับยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ถึงขนาดที่นายมาซาซูมิ วากาทาเบ้ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ได้กล่าวว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องไม่หยุดที่จะกระตุ้นผ่านนโยบายการเงินต่อไป หากไม่อยากให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับเข้าสู่ภาวะเงินฝืดอีกครั้ง เนื่องจากสงครามการค้าจะมีผลกระทบต่อญี่ปุ่นอยู่มาก
ในส่วนเศรษฐกิจสหรัฐนั้น
การผุดขึ้นมาของเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยกลับหัว หรือ Inverted Yield curve ระหว่างพันธบัตรอายุ 2 ปีและ 5 ปี ถือเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ อาจกำลังจะมาเยือนในระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า
แต่ที่น่าหนักใจคือ เจย์ พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ได้เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ว่าตัวเขาไม่เชื่อในแนวคิดดังกล่าว ซึ่งที่น่าแปลกใจคือ จอห์น วิลเลียมส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ค ที่ถือเป็นเจ้าตำรับแนวคิดนี้กลับออกมาเห็นด้วยกับพาวเวลไปเสียงั้น
ทำให้ต้องจับตาว่าเฟดจะยังมองประเด็นนี้เหมือนเดิมหรือไม่ หากใช่ น่าจะถือเป็นข่าวร้ายของเศรษฐกิจสหรัฐว่าจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าเดิมในอนาคต
ที่มาบทความ: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/646098