สงครามการค้า (Trade War) จะจบเมื่อไหร่ & แรงสุดแค่ไหน

สงครามการค้าหรือ Trade War แม้ดูเผินๆ แล้ว จะไม่ได้ใหญ่โตมากเหมือนวิกฤตซับไพรม์และเหมือนจะแค่เป็นการบลัฟกันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

แต่ล่าสุด เริ่มมีขอบเขตกว้างไปถึงการห้ามมิให้จีนและประเทศอื่นๆ เข้ามาซื้อเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และอาจรวมถึงการกีดกันการลงทุนระหว่างประเทศอีกต่างหาก โดยกลไกการแผ่ขยายความเสียหายมีการทวีคูณจากความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังน่ากังวลว่าจะกลายเป็นปรากฏการณ์ที่เกือบทุกคนเชื่อว่าวิกฤตกำลังจะมา แม้จะยังไม่ถึงขนาดนั้นหากมองในแง่ปัจจัยพื้นฐานแล้วทำให้เกิดขึ้นจริงๆ หรือ Self-fulfilling แบบที่ไปหาดุลยภาพที่แย่ (Bad Equilibrium) นอกจากนี้ ยังมีการแพร่เชื้อสงครามหรือ contagion กว้างขึ้นมาที่ยุโรปและละตินอเมริกาแล้ว บทความนี้ จะขอตอบคำถามถึงการสิ้นสุดและผลกระทบจากสงครามการค้าดังกล่าว

หนึ่ง สงครามการค้า จะจบเมื่อไหร่

ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ ต้องทราบเสียก่อนว่า เหตุใดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จึงต้องการเริ่มสงครามนี้ คำตอบคือในทางปฏิบัติ แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอย่างพอล ครุกแมน ยังยอมรับว่าอเมริกาได้เปรียบประเทศอื่นตรงที่มีขนาดใหญ่ จึงสามารถบีบให้ประเทศคู่ค้าลดราคาขายลงเพื่อชดเชยผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีหรือ Tariff ของสินค้าต่างๆ ซึ่งในงานวิจัยของนักวิชาการบางท่าน ให้อัตรากำแพงภาษีที่เหมาะสม (Optimal Tariff) สำหรับสหรัฐฯ ไว้ถึง 30% หรือสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งนี้ จะส่งผลให้ชาวอเมริกันสามารถบริโภคสินค้านำเข้าด้วยราคาเท่าเดิม ทว่ารัฐบาลสหรัฐฯ สามารถเก็บรายได้จากภาษีนี้เพื่อส่งผ่านเป็นประโยชน์ให้กับชาวอเมริกันต่อไป

รูปที่ 1 ผลกระทบของ Tariff ระดับต่างๆ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ที่มา: BEA

อย่างไรก็ดี Optimal tariff อาจจะใช้ได้ผลกับประเทศเล็กๆ ทว่าหากจะสหรัฐฯ คิดที่จะเกทับกับจีน โดยหวังว่าจะบี้ให้ผู้ส่งออกและทางการจีนลดราคาสินค้าเพื่อให้ราคาสุทธิของสินค้าส่งออกสามารถแข่งขันกับประเทศส่งออกอื่นนั้น คงจะยากหรือถือว่าอาจเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากขนาดของเศรษฐกิจจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งมูลค่าสินค้าที่ส่งออกและนำเข้าใกล้เคียงหรือใหญ่กว่าสหรัฐฯ เสียอีก รวมถึงชาวจีนมีสุภาษิตที่ว่า民族感情 หรือ พูดตามแบบชาวตะวันออก บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ ท้ายสุด นายทรัมป์คงต้องยอมถอยหลังเจอกลยุทธ์การชนแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันของจีน

จากรูปที่ 1 จะเห็นได้ว่ายิ่งสหรัฐฯ เล่นจีนแรง ตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็ยิ่งเสียหายมาก คำถามที่หลายท่านอยากทราบคือแล้วช่วงเวลาใดที่สงครามการค้าจะเริ่มซาลง คำตอบคือหลังเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ในช่วงเดือนพ.ย. ปีนี้ โดยทรัมป์ใช้สงครามการค้านี้เพื่อหวังเอาใจคะแนนโหวตของชาวอเมริกันผิวขาวชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นฐานเสียงใหญ่ของทรัมป์ที่ไม่ชอบจีนซึ่งเขาเชื่อว่าจีนเติบโตขึ่นมาเรื่อยๆ จนมีวันนี้ได้ก็ด้วยการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ

สอง สงครามการค้าครั้งนี้ จะกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ แค่ไหน

รูปที่ 2 ผลกระทบของ Tariff ในเฟสต่างๆ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ที่มา: FT

จากการวิเคราะห์ของ BEA ดังรูปที่ 1 คาดว่ากระทบราว 1.5-3% ของ GDP ทว่าหากรวมผลกระทบจากการตอบโต้จากจีนด้วย จะกระทบสูงสุดถึง 4% ดังรูปที่ 2 ซึ่งถือว่ายังเบากว่าวิกฤตซับไพรม์ที่กระทบต่อสหรัฐฯ กว่า 5% ของจีดีพี

สาม สงครามการค้าครั้งนี้ จะกระทบไทยไหม

ผมมองว่ากระทบในทางอ้อม ถ้าไม่เกิดการติดเชื้อ (contagion) จากเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ที่ดำเนินนโยบายการเงินที่ค่อนข้างไม่ทันการกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจตนเอง โดยยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 3% ต้นๆ แม้อัตราเงินเฟ้อของตนเองจะแซงหน้าอัตราการเติบโตของจีดีพีไปเยอะแล้ว ซึ่งหากประธานาธิบดี โรดริโก้ ดูเตอร์เต้ ยังไม่ปรับทีมเศรษฐกิจของประเทศ ค่อนข้างน่าห่วงว่าจะเกิดการเก็งกำไรค่าเงินและตลาดหุ้นจากนักเก็งกำไรต่างชาติเหมือนกับตุรกีเมื่อเดือนที่แล้ว โดยที่ต่างประเทศมักเหมารวมว่าไทยเป็นหนึ่งในตลาด TIP

สี่ กระนั้นก็ดี ผมมองว่าฟันด์โฟลว์ในช่วงไตรมาส 3 น่าจะยังเข้าสู่สหรัฐฯ แบบที่ค่อนข้างผันผวนเป็นพักๆ

เนื่องจากยุโรปเสียเปรียบสหรัฐฯ ใน Trade War ครั้งนี้ ในแง่ของการขาดความเป็นเอกภาพในการตอบโต้หากยืนระยะยาวๆ รวมถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่จะไม่เอายูโรและผู้อพยพทั้งในฮังการี ออสเตรียและอิตาลี ที่สำคัญ โอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษในเดือนส.ค.นี้ ที่ดูสูงขึ้นมากจากการที่นายแอนดริว ฮาร์เดน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ยกมือสวนให้ขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก น่าจะส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรปต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าที่ได้ให้สัญญาณไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ท้ายสุด ค่าเงินดอลลาร์น่าจะแข็งค่าสูงสุดในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า

เนื่องจากในช่วงกลางปีหน้า ผมคาดว่าจะเห็นบรรดานายธนาคารกลางในภูมิภาคหลักๆ ของโลก เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากวันนี้พอสมควร

เริ่มจากธนาคารกลางยุโรป ช่วงกลางปีหน้า น่าจะกำลังได้ประธานธนาคารกลางยุโรปท่านใหม่ ที่มีนามว่า เจนส์ วีดแมน ประธานธนาคารกลางเยอรมันท่านปัจจุบัน ที่ขึ้นชื่อว่ากลัวเงินเฟ้อตามสไตล์เยอรมัน โดยมาริโอ ดรากี กำลังหมดวาระในเดือน ก.ย. 2019

หันมาทางฟากธนาคารกลางอังกฤษน่าจะกำลังได้ตัวผู้ว่าการแบงก์ชาติอังกฤษท่านใหม่ ในขณะนี้ มาร์ก ฮาร์มอนด์ รัฐมนตรีคลังของอังกฤษ ได้เริ่มกระบวนการสรรหาผู้ว่าธนาคารกลางอังกฤษท่านใหม่แล้ว โดย มาร์ก คาร์นีย์ จะหมดวาระลงในเดือน มิ.ย.2019 ผู้ว่าแบงก์ชาติอังกฤษท่านใหม่ น่าจะเป็น เดฟ แรมส์เดน หรือแอนดริว ไบร์เลย์ ทั้งคู่เป็นผู้ที่นิยมการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อป้องกันทั้งเงินเฟ้อและเสถียรภาพทางการเงินโดยไม่รู้ตัว จึงมีโอกาสจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อนข้างแรง เนื่องจากคำนึงถึงเสถียรภาพด้านการเงินในการตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

นอกจากนี้ ปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะคงเป็นตัวถ่วงไม่ให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า โดยที่เฟดเองอาจต้องประเมินจังหวะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในต้นปีหน้า

โดยสรุป สงครามการค้าในยกนี้ เหมือนจะรุนแรงกว่ายกก่อนจากมูลเหตุจูงใจทางการเมือง แต่น่าจะคลี่คลายลงหลังเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ต้นไตรมาส 4 ปีนี้ก็เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง

ที่มาบทความ : http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/644956

TSF2024