ในปี 2025 ภาพรวมของ consensus ส่วนใหญ่ของตลาด คือ เศรษฐกิจสหรัฐยังน่าจะไปได้ค่อนข้างดี จากมาตรการลดภาษีและ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านการเงินและเทคโนโลยีของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยจะทำให้ Recession ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในสหรัฐ ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะชะลอความร้อนแรงลง ทว่าส่วนใหญ่ยังมองว่าน่าจะไปได้ค่อนข้างดีโดยจะชะลอการเพิ่มขึ้นหรือออกจะทรงตัว
หันมาพิจารณาฝั่งยุโรป ส่วนใหญ่ประเมินว่าสถานการณ์ในยูเครนมีแนวโน้มจะคลี่คลายลง รวมถึงการเลือกตั้งในเยอรมัน น่าจะได้เฟรเดอริค เมอร์ซเป็นผู้นำใหม่ ซึ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจมากว่าผู้นำคนเดิม รวมถึงธนาคารกลางยุโรปน่าจะลดดอกเบี้ยมากกว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด สำหรับความสัมพันธ์กับสหรัฐในเรื่อง Trade War น่าจะมีให้เห็นเป็นพัก ๆ แต่รุนแรงน้อยกว่ากับจีน
ในขณะที่เศรษฐกิจจีน ส่วนใหญ่ประเมินว่ายังคงไม่ดีขึ้นจากปีที่แล้ว ส่วนญี่ปุ่น ก็ยังคงอยู่ในช่วงลุ้นของการขึ้นดอกเบี้ยจากแบงก์ชาติญี่ปุ่นให้สำเร็จ
บทความนี้ จะขอประเมินว่าสิ่งใดบ้างที่ตลาดน่าจะคาดดี ตรง หรือแย่เกินไป ปี 2025 ดังนี้
สิ่งที่ตลาดน่าจะคาดดีเกินไป
– ภาระการคลังสหรัฐจะลดลงส่วนหนึ่งจากการประหยัดงบประมาณบุคลากรภาครัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพจากการที่ทรัมป์ผนึกกำลังกับ อิลอน มัสก์ ตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นมาเพื่อทำการลดต้นทุนที่เป็น Red Tape ในหน่วยงานราชการสหรัฐ
โดยผมมองว่าไม่ใช่ว่ามัสก์จะไม่สามารถทำได้ ทว่าด้วย Culture ของมัสก์ที่แม้แต่ในภาคเอกชนยังถือว่าค่อนข้างแข็งกระด้างและไม่แคร์ต่อความรู้สึกของพนักงาน ทำให้มัสก์มีแนวโน้มว่าจะทะเลาะกับกลุ่ม Make America Great Again (MAGA) ของทรัมป์รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ประเด็นวีซ่า HB-1 จนกระทั่งงานหลักของมัสก์ไปต่อได้ยาก อันนี้ยังไม่รวมถึงการที่จะเข้าไปขัดแย้งกับบุคลากรในหน่วยงานรัฐอีกต่างหาก
นอกจากนี้ มัสก์มีแนวโน้มจะใช้สื่อออนไลน์ของตนเองไปแทรกแซงช่วยเหลือนักการเมืองในประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวคิดทางการเมืองใกล้เคียงกับตนเอง ก็ยิ่งจะทำให้มีโอกาสขัดแย้งกับทรัมป์มีได้ง่ายขึ้น
– อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐ จะรุ่งเรืองขึ้นไปอีกในยุคทรัมป์ จากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ หรือ Deregulation อาทิ การควบรวมกิจการง่ายยิ่งขึ้น หรือแม้แต่การผ่อนคลายเกณฑ์เกี่ยวกับ Cryptocurrency โดยจุดอ่อนของรัฐบาลทรัมป์ในมิตินี้ คือการที่มีมัสก์เข้ามามีส่วนร่วมในคณะรัฐมนตรี ทำให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐ จะไม่มี Level Playing Field นั่นคือบริษัทในกลุ่มเพื่อนพ้องของมัสก์จะได้เปรียบในมิติเชิงนโยบาย ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต
สิ่งที่ตลาดน่าจะคาดตรงกับสิ่งที่เกิดจริง
– จำนวนครั้งของการลดดอกเบี้ยของเฟด (Fed Cut): ผมมองว่าจากการท่ี Dot plot ของเฟด ให้ความเห็นว่าเฟดน่าจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ในขณะที่มุมมองตลาดในขณะนี้ Pricing การลดดอกเบี้ยของเฟดไว้ 1 ครั้งในปีนี้ ผมมองว่ามุมมองนี้ น่าจะยังเป็นจริงต่อไปในปีนี้
– เกิดความรุนแรงของความขัดแย้งในประเด็นต่าง ๆ ระหว่างสหรัฐกับจีน ทว่าสงคราม Tariff ยังอาจจะไม่แรงมากในปีนี้: ความเสี่ยงอันดับต้นๆของทรัมป์ในปีนี้ คือความขัดแย้งในประเด็นต่าง ๆ ระหว่างสหรัฐกับจีน ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า นโยบายด้านการต่างประเทศ และด้านการเมือง จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าหลายฝ่ายยังคงคาดว่าสงครามด้านกำแพงภาษีหรือ Tariff ยังน่าจะยังคงไม่รุนแรงแบบสุด ๆ ในปีนี้ โดยยังเน้นกลยุทธ์การเจรจาเป็นหลัก ประกอบกับการขึ้น Tariff แบบเป็นพัก ๆ
– ทรัมป์ไม่ปลดประธานเฟดฯ เจย์ พาวเวล: โดยคาดกันว่าพาวเวลยังน่าจะยังสามารถอยู่จนครบวาระ เดือนพฤษภาคม 2026 ทว่าทรัมป์อาจมีการตั้งประธานเฟดเงา หรือผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งต่อจากพาวเวล ในขณะที่พาวเวลยังเป็นประธานเฟดอยู่ เพื่อที่จะลดอิทธิพลที่มีต่อนโยบายการเงินสหรัฐจากตัวของพาวเวลเองให้ลดลง นั่นก็อาจไม่ส่งผลดีนักต่อตลาดหุ้นสหรัฐเช่นกัน
สิ่งที่ตลาดน่าจะคาดแย่เกินไป
– ทางการจีนไม่น่าจะมีการกระตุ้น (Stimulus) เศรษฐกิจแบบขนานใหญ่: จุดนี้ ผมมองว่าจีนน่าจะมีการปรับเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงินค่อนข้างครั้งใหญ่ในปีนี้ ในขณะที่ด้านการคลัง อาจจะกระตุ้นมากขึ้นจริง ทว่าอาจจะทำด้วยขนาดที่น้อยกว่าด้านการเงิน ซึ่งในภาพรวม ผมมองว่าตลาดคาดการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนไว้น้อยเกินไปเล็กน้อย
– Bond Yield พันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐนั้น ตลาดคาดว่าน่าจะอยู่ในระดับ 4.75-5% ในปีนี้ ผมมองว่าอาจจะคาดการณ์การขึ้นน้อยเกินไปหน่อย คาดว่าน่าจะยืนพื้นที่ 5% มากกว่า
– ตลาดยังคงก้ำกึ่งว่าแบงก์ชาติญี่ปุ่นจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับที่ต้องการสำเร็จหรือไม่ โดยผมมองว่าน่าจะสามารถทำสำเร็จได้ในปีนี้
สำหรับ Impication จากการวิเคราะห์ดังกล่าวนั้น โดยรวม ผมมองว่าปัจจัยเชิงบวกจากมาตรการลดภาษีและการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านเทคโนโลยีและการเงินน่าจะมีน้อยกว่าคาด ทว่าผลเชิงลบจาก Trade War น่าจะมีอยู่น้อยกว่าเช่นกัน ทำให้ผลกระทบสุทธิต่อตลาดสหรัฐน่าจะไม่มากมายสำหรับการคาดการณ์ในตอนนี้ของตลาดกับความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่ฝั่งเอเชีย ผมมองว่าตลาดคาดการณ์ไว้แย่จนเกินไปเล็กน้อย จากโมเมนตัมที่ดูจะดร็อปลงในช่วงปลายปีที่แล้ว
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com