บทเรียนน่าคิด... ผ่านคู่จิ้นหุ้นดังสหรัฐ

ได้มีโอกาสอ่านบทความจากผู้เขียนของ Dow Jones News Service ว่าด้วยการเปรียบเทียบหุ้นรายตัวที่เป็นคู่ซึ่งมีสไตล์ดูเหมือนที่แตกต่าง โดยทำในลักษณะที่คล้ายกับเบนจามิน เกรแฮม เขียนไว้ในหนังสือเล่มดัง ‘The Intelligent Investor’ พร้อมเรียนรู้ข้อคิดที่น่าสนใจสะท้อนแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าจากข้อสรุปของการเปรียบเทียบ ดังนี้

คู่ที่แรก: AMC Entertainment Holdings Inc. (ธุรกิจโรงภาพยนตร์) vs. AMETEK, Inc. (อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์)

ระหว่างปี 2021-22 หุ้น AMC ซึ่งจัดเป็นหุ้น Meme หรือหุ้นที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษจากนักลงทุนรายย่อยในกลุ่มแชท ประกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์เกือบทั่วสหรัฐมีอัตราการเติบโตรายได้ที่ลดฮวบลงอย่างน่าใจหาย มีมูลค่าหนี้ในระดับที่ถือว่าส่งสัญญาณอันตราย ทว่ามีบรรดานักเก็งกำไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งรายย่อยที่รับรู้และแลกเปลี่ยนข้อมูลในห้องแชททางสังคมออนไลน์ (เรียกกันว่า apes) คอยผลักให้ราคาหุ้นให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ สวนทางกับพื้นฐานของธุรกิจในความเป็นจริง ด้วยเหตุผลทั้งจากการที่เป็นแฟนโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งตัวผมเองก็เป็นแฟนคลับของ AMC สมัยวัยรุ่น และช่วยให้หุ้น AMC ไม่เป็นเป้าของเฮดจ์ฟันด์บางแห่งที่จ้องจะทำกำไรจากธุรกรรม Short โดยราคาหุ้นที่สูงขึ้น จะทำให้เฮดจ์ฟันด์เหล่านี้ขาดทุนจากการ Short ดังกล่าว

โดยบรรดา apes ได้ประกาศว่าตนเองเป็น HODL หรือ hold on for the dear life และเป็น MOASS หรือ mother of all short squeezes เพื่อให้บรรดานักลงทุนที่ Short หุ้น AMC ถูกบังคับให้ยกเลิกธุรกรรม short ของตนเองจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น โดยตั้งเป้าราคาหุ้นให้สูงขึ้นสู่ $100,000 หรือสูงกว่านั้น โดยหวังให้บรรดา apes ร่ำรวยไปตามกันในที่สุด

ทั้งนี้ ในเกือบ 5 เดือนแรกของปี 2021 บรรดา apes ได้ทำให้ราคาหุ้น AMC สูงขึ้นถึง 3,050%

หันมาพิจารณาหุ้น AMETEK (AME) ซึ่งผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ ป้อนให้กับลูกค้าที่เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมการบิน, อาวุธทางทหาร และการแพทย์ ซึ่งไม่มีเหล่า apes มาคอยหนุนราคาหุ้นให้สูงขึ้น โดยในเกือบ 5 เดือนแรกของปี 2021 ราคาหุ้น AME สูงขึ้น 14%

ในส่วนผลประกอบการปี 2021 AMC ถือว่าใกล้จุดที่ถือว่าย่ำแย่สุด ๆ จนน่าจะไปต่อยาก ส่วน AME ถือว่าธุรกิจมีกำไรที่ไม่ขี้เหร่

นับตั้งแต่ปี 2017 ยอดขายของ AMC ลดลงราวครึ่งหนึ่ง และมีกำไรอยู่น้อยมาก แถมยอดหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และเงินสดเหลืออยู่น้อย

ด้าน AME ยอดขายและกำไรเติบโตได้แบบค่อนข้างเสถียร หนี้สินอยู่ในระดับไม่สูง แถมมีเงินสดอยู่ค่อนข้างมาก

มาดูกันต่อในช่วงโควิดเริ่มจางลง ปรากฎว่า ในปี 2022 ราคาหุ้น AMC ร่วงลง 76% และลดลงอีก 83% ในปี 2023 บรรดา apes ที่ขายหุ้นไม่ทัน ต่างก็เจ็บตัวกันไปทั่วหน้า ในขณะที่ราคาหุ้น AME ยังไปต่อได้เรื่อย ๆ

ข้อคิดในการเปรียบเทียบนี้: ในระยะสั้น ปัจจัยพื้นฐานในหลาย ๆ ครั้งไม่ได้ช่วยดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นแบบที่ควรจะเป็น ทว่าในระยะยาว ราคาหุ้นจะสะท้อนผ่านปัจจัยพื้นฐาน

คู่ที่สอง: Arcimoto Inc. (รถยนต์ไฟฟ้า) vs. Arconic Corp. (อลูมิเนียม)

ในปี 2020 หุ้น Arcimoto ซึ่งทำธุรกิจเป็นผู้ผลิตขนาดเล็กรถมอเตอร์ไซด์ 3 ล้อที่เรียกว่า Fun Utility Vehicle (FUV) มีราคาสูงขึ้นกว่า 720% ส่วนหลักจากการที่ CEO ในขณะนั้น ปรากฎตัวให้สัมภาษณ์ในสารพัดสื่อ ไม่ว่าจะเป็น Podcast และวิดิโอออนไลน์ เชียร์ว่า FUV จะสร้างรายได้ให้บริษัทอย่างมากมายในอนาคต พร้อมเชียร์ให้นักเทรดรีบเก็บหุ้นนี้เอาไว้ โดยครั้งหนึ่งนักเทรดบางกลุ่มเคยขนานนามหุ้น Arcimoto ว่าเป็น the next Tesla จนราคาหุ้นพุ่งขึ้นแบบสุด ๆ

อย่างไรก็ดี ผลปรากฎว่า ในปี 2020 บริษัทสามารถผลิตรถดังกล่าวได้เพียง 97 คันเพื่อสามารถส่งมอบให้กับลูกค้า โดยธุรกิจมีรายได้ $2 ล้าน และขาดทุนสุทธิ $18 ล้าน

อย่างไรก็ดี Arcimoto เคลมว่ามี Pre-Order อยู่เยอะ กระนั้นก็ดี ก็ยังสามารถส่งมอบให้ลูกค้าเพียง 192 และ 228 คันในปี 2021 และ 2022 ตามลำดับ อยู่ดี

ทั้งนี้ บริษัทขาดทุน $144 ล้านระหว่างปี 2021-2023 ด้านราคาหุ้นลดลง 41% และ 98% ในปี 2021 และ 2022 ตามลำดับ แถมยังลดลงอีก 74% ในปี 2023

ด้านหุ้น Arconic มีราคาที่ผันผวนเหมือนกัน ทว่าด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 บริษัทแม่ได้ประกาศแยก Arconic Corp. ซึ่งผลิตสินค้าด้านอลูมิเนียม ออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งอีกหนึ่งปีต่อมา โลกได้เข้าสู่ภาวะล็อกดาวน์จากโรคระบาดโควิด โดย Arconic เริ่มเทรดในตลาดหุ้นสหรัฐวันที่ 1 เมษายน 2020

ด้วยเหตุที่การผลิตหยุดชะงักและห่วงโซ่อุปทานโลกถูกกระทบจากโควิด ส่งผลให้อุปสงค์ต่อสินค้าบริษัทลดลงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทลดลง 38% จากปีก่อนหน้าในไตรมาสแรกของปี 2020 กำไรสุทธิลดลงจาก $5 ล้าน เป็นขาดทุน $92 ล้าน

ราคาหุ้น Arconic ลดลง 54% ในวันแรกของการเทรด และลงอีก 11% ในวันถัดมา

จะเห็นได้ว่าในขณะที่คนซื้อหุ้น Arcimoto เพื่อหวังถึงการขยายศักยภาพของ FUV ให้รุ่งโรจน์ ซึ่งถือว่าหวังไปไกลเกินกว่าความจริง ด้านผู้ที่ซื้อหุ้น Arconic ก็ขยายผลเชิงลบไปกว่าความเป็นจริงในเวลาต่อมาเช่นกัน

หลังจากนั้น Arconic ได้ปรับทำการปรับโครงสร้างหนี้ เพิ่มปริมาณเงินสด และลดค่าใช้จ่ายมูลค่าหลักร้อยล้านดอลลาร์ เมื่อการล็อกดาวน์ได้รับการยกเลิกและอุปสงค์ของสินค้าด้านอลูมิเนียมกลับมาเริ่มดีขึ้น ยอดขายของ Arconic ก็กลับมาดีขึ้น และกำไรก็สูงขึ้น ในเดือนมิถุนายน 2021 ราคาหุ้น Arconic ขึ้นมาสู่ $38 เพิ่มขึ้นกว่า 500% จากจุดต่ำสุดเมื่อปีก่อน

ในเดือนสิงหาคม 2023 Arconic ถูกควบรวมกิจการด้วยราคา $30 ต่อหุ้น โดย Apollo Global Management

ข้อคิดในการเปรียบเทียบนี้: ในระยะยาว ผลตอบแทนที่สูงไม่ได้มาจากการคาดหวังที่สูงส่ง หลาย ๆ โอกาสมาจากการกลับทิศของความคาดหวังที่เคยดูมืดมนเกินจริงในช่วงก่อนหน้า

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com