มุมมอง.. จากนักลงทุนสถาบันสหรัฐฯ

Money Poll ปี 2019 ที่ออกมาล่าสุด จากบรรดาผู้จัดการกองทุน 148 ท่านทั่วอเมริกา ซึ่งทำการสำรวจโดย Dow Jones มองตลาดในปี 2019 เป็นดังนี้

หนึ่ง ปัจจัยบวกที่โพลนี้ให้น้ำหนัก ได้แก่ การหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ความเป็นไปได้ของการสงบศึกสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ การเติบโตที่ไม่เลวนักของผลกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐสำหรับไตรมาสที่ผ่านมา และตลาดแรงงานสหรัฐที่แข็งแรงที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา

สอง สำหรับมุมมองทั้ง Bull และ Bear สำหรับโพลนี้ มีดังนี้ ฝั่งที่มองบวก ให้น้ำหนักกับ การเติบโตของผลกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐสำหรับไตรมาสที่ผ่านมา โดย Consensus สำหรับโพลนี้ คือ 6-8% ฟากที่มองในแง่ลบ มองปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงจากน้ำหนักสูงไปต่ำในอีก 12 เดือนข้างหน้า ดังรูปที่ 1 ได้แก่ ความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะกลับไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากความขัดแย้งของการเมืองในสหรัฐและความผิดพลาดของการดำเนินนโยบายของเฟด รวมถึงความรุนแรงสงครามการค้า ตามลำดับ

สาม ประเด็นที่ดูจะมีการถกเถียงกันมากที่สุด คือ เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเมื่อไหร่กัน โดย 44% ของโพล มองว่าจะเกิดขึ้นในปี 2020 ราว 32% มองไปที่ปี 2021 และ 20% มองว่าจะเกิดตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป หลังจากที่ขึ้นไปที่จุดสูงสุดในไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ 4.2% โดยชะลอลงมาเติบโตที่ 3.2% ในไตรมาสแรกของปีนี้

สี่ ด้วยปัจจัยลบต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น คาดการณ์ดัชนีในมุม Bearish โดย DJIA จะลดมาที่ 23,734 และ 23,422 ณ สิ้นปี 2019 และกลางปี 2020 ตามลำดับ ส่วนในกรณี Bullish จะอยู่ที่ 27,037 และ 27,747 ณ สิ้นปี 2019 และกลางปี 2020 ตามลำดับ

จะเห็นได้ว่า DJIA มี Upside เพียงตัวเลขหลักเดียว ส่วน Downside ราว 10% กว่าๆ หากพิจาณา S&P 500 และ Nasdaq จะเห็นได้ว่าในกรณี Bullish เหลือ Upside อยู่น้อยมากในอีก 14 เดือนข้างหน้า ส่วนกรณี Bearish นั้น Nasdaq มี downside อยู่ถึงเกือบ 17% และ 20% ตามลำดับ เลยทีเดียวในอีก 8 และ 14 เดือนข้างหน้า ตามลำดับ

ห้า หุ้นแบบ Defensive stocks ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดในปี 2019 ในขณะที่ หุ้นแนวเทคโนโลยีและ Biotech ที่ยังไม่ได้มีกำไร อย่าง Roku และ Snap ให้ผลตอบแทนเพิ่มไปเท่าตัวไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ หุ้นแนว Healthcare ที่มี Story แรง อย่าง Guardant Health และ Sage Therapeutics ก็เช่นกัน

นอกจากนี้ หุ้นเทคโนโลยียังเป็นที่นิยม ทั้งนี้ กว่า 3 ใน 4 ของผู้จัดการกองทุนทั้งหมดเลือกหุ้นแนวนี้ โดยหุ้นที่มีพื้นฐานดีอย่าง Alphabet ดูน่าสนใจ นอกจากนี้ Ubers ที่กำลังจะเข้า IPO และคู่แข่งอย่าง Lyfts ต่างก็น่าสนใจเข้าไปลงทุน

ส่วนในมุมของ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐ ณ ระดับตอนนี้ ส่วนใหญ่จะมองว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว

ท้ายสุด ในแง่ของหุ้นรายเซกเตอร์ ยังเป็นหุ้นสไตล์ Growth ที่ผู้จัดการกองทุนชื่นชอบ นั่นคือ เซกเตอร์ IT และ Healthcare ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบ ด้วยเหตุผลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีองค์ประกอบด้านการบริโภค ถึง 78% ของจีดีพี ซึ่งในตอนนี้มีการเติบโตที่ดีจากภาคแรงงานที่เข้มแข็งขึ้น จึงทำให้การบริโภคด้านอุปกรณ์ IT มีความคึกคัก นอกจากนี้ ด้วยการที่สหรัฐก็กำลังเข้าสู่เศรษฐกิจที่มีผู้สูงอายุจากกลุ่ม Baby Boomer เพิ่มขึ้น จึงทำให้ Healthcare เป็นเซกเตอร์ที่มีแรงหนุนอยู่มาก

ส่วนหุ้นสไตล์ Defensive อย่าง Utilities และ Materials ไม่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสถาบันมากนัก

โดยสรุป ตลาดหุ้นสหรัฐค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนรายใหญ่ในสหรัฐ แม้ผลตอบแทนเพิ่มเติมต่อจากนี้ไป น่าจะไม่ได้มีอย่างมากมายเหมือน 3 ปีที่ผ่านมาครับ

ที่มาบทความ: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/647147

TSF2024