ในช่วงนี้ คำถามสุดฮิต คือ ตลาดหุ้นจีน ครึ่งหลังปี 2022 จะไปทางไหน และจะเอาอย่างไรต่อดี? ลองมาพิจารณาจุดเด่นและจุดด้อยของเศรษฐกิจและภาพรวมอื่น ๆ ของจีนในบทความนี้กัน
ผมคิดว่าหนทางที่ดีที่สุดสำหรับการตอบคำถามนี้ คือ มาพิจารณาว่าครึ่งหลังของปีนี้ อะไรเป็นปัจจัยบวกและลบของเศรษฐกิจและภาพรวมอื่น ๆ ของจีนกัน
เริ่มจาก ปัจจัยเชิงบวกก่อน ผมมองว่า มีดังนี้
- เศรษฐกิจจีนไร้ปัญหาเงินเฟ้อ: หากพิจารณาบรรดาประเทศหลัก ๆ ทั้งหลาย จีนถือว่ามีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าทุกประเทศ ยกเว้นญี่ปุ่น ตรงนี้ จึงทำให้ธนาคารกลางจีนสามารถทำนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้อีก รวมถึงยังกระตุ้นต่อด้วยนโยบายการคลังของภาครัฐ
- บรรยากาศแข่งกันทำค่าเงินแข็ง: แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่มีมูลค่าดุลการค้าที่เกินดุลมากที่สุดสำหรับประเทศใหญ่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับสหรัฐที่ขาดดุลการค้ามากที่สุด ทว่าไม่มีใครรู้สึกอะไรเท่าไรว่าจะต้องเอาคืน ณ ตรงนี้ เนื่องจากแทบทุกประเทศไม่ต้องการเงินเฟ้อ จึงอยากให้สกุลเงินตนเองแข็งไว้ก่อน ดังนั้น จีนน่าจะได้การส่งออกที่มากกว่าการนำเข้าช่วยให้จีดีพีของตนเองขยับใกล้ร้อยละ 5 ตามเป้าหมายที่ตนเองต้องการ
- ปี 2022 ถือเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปีของจีน: เนื่องจากในช่วงปลายปีนี้ จะมีการประชุมครั้งที่ 20 ของพรรคคอมมิวนิสต์ระดับชาติของจีน ซึ่งจะเป็นเวทีที่ สี จิ้น ผิง ผู้นำจีน จะขยายเวลาในการเป็นผู้นำจีนแบบที่ไม่มีข้อจำกัดสำหรับวาระในการดำรงตำแหน่งผู้นำซึ่งนับเป็นจุดที่ผู้นำจีนท่านปัจจุบันจะมีสถานภาพที่ทัดเทียมกับอดีตประธาน เหมา เจ๋อ ตุง ซึ่งถ้าปีนี้ไม่ใช่ปีที่พิเศษ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นปีไหนแล้ว
- ผู้นำจีนเดินทางออกงานที่ยิ่งใหญ่นอกเมืองหลวง เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี: ท่ามกลางบรรยากาศโควิด ในจีนที่ถือว่ามีความเข้มงวดในการจัดการเป็นอย่างมากตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมานั้น ผู้นำจีนไม่เคยปรากฏตัวนอกสถานที่เลย ทว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา สี จิ้น ผิง ได้ปรากฏตัวออกงานเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีสำหรับการกลับคืนของฮ่องกงสู่ภายใต้การปกครองของจีน รวมถึงล่าสุด ได้เดินทางไปเยือนเมืองซิน เจียง เขตที่ถือว่ามีปัญหาความขัดแย้งของคนกลุ่มน้อย อย่างเป็นทางการ ตรงนี้ ในเชิงสัญลักษณ์ถือว่าเป็นการประกาศว่าเศรษฐกิจจีนกำลังจะค่อย ๆ ออกจากบรรยากาศการล็อกดาวน์จากโควิดในที่สุด
- ลุ้นสหรัฐลดกำแพงภาษีการส่งออกจีน: ท่ามกลางการเมืองสหรัฐ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่โจ ไบเดนกำลังโดนกดดันอย่างหนักจากปัญหาเงินเฟ้อ จนต้องเดินทางไปตะวันออกกลางเพื่อขอความร่วมมือในการขยายกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อหวังให้ราคาน้ำมันลดลง ทั้งนี้ ในช่วง 1-2 เดือนนี้ สนธิสัญญาทางการค้าที่เพิ่มกำแพงภาษีสหรัฐต่อการส่งออกของจีนสมัย Trade War ยุคโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะหมดอายุลง และมีโอกาสสูงที่จะไม่ต่ออายุกำแพงภาษีดังกล่าว ซึ่งน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนดีขึ้นจากการส่งออกที่น่าจะเพิ่มขึ้น
ท้ายสุด ตลาดหุ้นจีนถือว่ายังมีมูลค่า หรือ Valuation ที่ถูกเมื่อเทียบจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิกับตลาดหุ้นของประเทศอื่น ๆ
ด้านปัจจัยเชิงลบของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน มองว่า มีดังนี้
- กฎเกณฑ์ที่ไว้ควบคุมบริษัทต่าง ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอาจมีผลเสียต่อสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเยาวชนจีนในระยะยาว หรือ Common Prosperity ยังคงมีอยู่ไว้เพื่อจัดระเบียบบริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ในตลาดหุ้นจีน
- นโยบาย Zero-Covid ของทางการจีน ยังคงมีอยู่ในบางพื้นที่ ซึ่งตรงนี้ อาจจะทำให้อุปสงค์ต่อสินค้าและบริการในพื้นที่เหล่านี้ ยังคงอ่อนแอ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถเติบโตได้เต็มศักยภาพ ซึ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถเป็นไปตามเป้าหมายของทางการจีน
- หนี้เสียของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงการลงทุนใหม่ ๆ ในเซกเตอร์นี้ถือเป็นการลงทุนที่ไม่มีระดับผลิตภาพที่สูงมากนักเมื่อเทียบกับต้นทุนทางการเงิน
- การถูกกดดันให้ผ่อนคลายภาระหนี้เสียของบรรดาประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เป็นลูกหนี้ของจีน โดยรัฐบาลสหรัฐเริ่มจะพยายามสร้างแรงกดดันผ่านการล็อบบี้กับนานาประเทศ เรียกร้องให้รัฐบาลจีนยกหนี้บางส่วนให้กับประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่ใกล้ล้มละลาย อย่าง ศรีลังกา ซึ่งเป็นภาระเพิ่มเติมต่อมูลหนี้ของรัฐบาลจีนต่อไป
หากได้เห็นทั้งปัจจัยบวกและลบทั้งหมดของจีนแล้ว ลองให้ท่านผู้อ่านพิจารณากันดูว่าตลาดหุ้นจีน ครึ่งหลังปี 2022 จะเอาอย่างไรต่อกันดี
MacroView