ถ้าจะมีผู้ที่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับบิตคอยน์ได้อย่างมีความน่าเชื่อถือที่สุดในยุคนี้ ผมว่าหนึ่งในนั้นคือ เรย์ ดาลิโอ
บทความนี้จะขอนำเสนอมุมมองดังกล่าวผ่านความเห็นจาก เรย์ ดาลิโอ แบบคำต่อคำ ก่อนอื่นเขาออกตัวว่าเขาเองไม่ได้เป็นผู้ชำนาญด้านเงินสกุลคริปโตเคอร์เรนซี่ การที่เขาเองมาเขียนบทความให้ความเห็นเกี่ยวกับบิตคอยน์แบบเต็มตัวเป็นครั้งแรก ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการนำคำพูดบางประโยคของเขาที่ให้ความเห็นเพื่อตอบคำถามที่พิธีกรถามในงานต่าง ๆ แล้วมีการไปตีความให้สอดคล้องกับบริบทของผู้ที่ต้องการสื่อสารเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
ดาลิโอ ได้แบ่งบทความนี้ ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นความเห็นของเขาเองแบบที่เขียนเอง และ ส่วนที่สอง คือ บทวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ให้ทีมงานของเขาช่วยเพิ่มตัวเลขและสถิติต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนบทความในส่วนแรก
ผมขอพูดถึงความคิดเห็นของดาลิโอก่อน โดยดาลิโอชมบิตคอยน์ว่า ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการเงิน ทว่าเขาเองก็มองว่าด้วยทั้งปัจจัยทางเทคนิค การเมือง และธนาคารกลาง ทำให้เขามองว่าบิตคอยน์ยังไม่ใช่การลงทุน ทว่าเป็นเพียงการซื้อ ‘ออปชั่น’ เผื่อว่าจะได้กำไรก้อนโต โดยเขาได้แบ่งจุดเด่นและจุดด้อยของบิตคอยน์ไว้เป็นอย่างละ 3 ประการ โดยขอเริ่มจาก จุดเด่น ก่อน ดังนี้
1. ดาลิโอ เปรียบเทียบ บิตคอยน์ เหมือนกับนวัตกรรมทางการเงินอย่าง Medicis เมื่อปี 1350 ที่สามารถเป็นเสมือนผลิตภัณฑ์สินเชื่อรูปแบบใหม่ที่สามารถตีตลาดการเงินในยุคนั้น จนสามารถทำให้นักลงทุนทำกำไรจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
2. ในแง่ของการตลาด ดาลิโอให้ความเห็นว่าบิตคอยน์สามารถหาตลาดซึ่งต้องการมีความเป็นส่วนตัวและไม่ได้มีขนาดใหญ่มากเพื่อมาแข่งกับทองคำได้สำเร็จ โดยตลาดดังกล่าวถือเป็น untapped demand มาอย่างยาวนาน
3. ดาลิโอได้ชมบิตคอยน์ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ได้ก้าวข้ามผ่านการเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็งกำไรระยะสั้นแบบสมบูรณ์ มาเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงมากทว่าก็สามารถใช้เก็บมูลค่าได้ไว้ในอนาคตแม้จะอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก
ส่วนจุดด้อยของบิตคอยน์ ที่ดาลิได้กล่าวไว้ มี 3 ประการเช่นกัน ดังนี้
1. แม้บิตคอยน์จะมีจุดเด่นเมื่อเทียบกันเงินสกุลเงินสกุลคริปโตประเภทอื่น ๆ ที่มีอุปทานของเหรียญอยู่จำกัด ทว่าดาลิโอมองว่าจุดเด่นดังกล่าว ไม่น่าจะเพียงพอที่จะสกัดไม่ให้เงินสกุลคริปโตใหม่ ๆ ในอนาคต ที่จะมาตีตลาดบิตคอยน์ให้หล่นจากเบอร์ 1 ในบรรดาสกุลเงินคริปโตได้ โดยยกตัวอย่างมือถือแบล็กเบอร์รี ที่การจำกัดจำนวนเครื่องหรือบริษัทเดียวที่ผลิตได้ ยังไม่เพียงพอต่อการอยู่เป็นเจ้าตลาดอย่างยั่งยืน
2. แม้บิตคอยน์จะมีเทคโนโลยีที่โฆษณาตนเองว่าไม่สามารถจะโดนเจาะระบบหรือแฮ็กได้ ทว่าดาลิโอมองว่า สิ่งนี้ก็อาจไม่เป็นจริงตลอดไปในอนาคต โดยได้อ้างอิงถึงหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐที่ยังถูกมือดีเจาะระบบได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ รวมถึงการเป็นผู้เล่นแบบ Cyber Defense หรือคอยเป็นผู้รับหรือป้องกันไม่ให้ตนเองถูกเจาะระบบ ถือว่าเสียเปรียบต่อการเป็น Cyber Offense หรือผู้ที่จ้องเจาะระบบคอมพิวเตอร์หน่วยงานอื่น ๆ
3. การที่ตลาดบิตคอยน์มีอุปทานที่ถือว่ามีปริมาณคงที่ ราคาของบิตคอยน์ จึงถูกกำหนดโดยระดับอุปสงค์ ซึ่งดาลิโอมองว่าหากเขาเองเป็นรัฐบาลหรือธนาคารกลาง เมื่อเห็นว่าบิตคอยน์กำลังทำหน้าที่ถือเป็นคู่แข่งของเงินสกุล (fiat money) ของตนเอง เขาเองคงจะต้องลดระดับอุปสงค์ของบิตคอยน์ ด้วยการหาทางขัดขวางหรือจำกัดไม่ให้ประชาชนสามารถใช้บิตคอยน์ได้ตามต้องการ ผ่านการออกกฎเกณฑ์หรือระเบียบทางการเงิน หรือการหาเหตุผลทางสังคมหรือเทคโนโลยีในการสกัดไม่ให้ประชาชนต้องการใช้ หรือสะสมบิตคอยน์เพื่อหวังทำกำไรให้กับตนเอง
นอกจากนี้ ในส่วนที่ทีมงานของดาลิโอวิเคราะห์ไว้ ได้มองบิตคอยน์ในลักษณะที่เป็นเหมือนการซื้อออปชั่นเพื่อหวังกำไรคำโต ๆ ทว่าก็ต้องทำใจหากจะต้องเสียเงินไปกับการซื้อพรีเมี่ยมของออปชั่นแบบทั้งจำนวน หากเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามคาด
หากพิจารณาจากสถิติระยะเวลาการถือครองหรือการเทรดระหว่างกัน พบว่ามีเพียงราวหนึ่งในห้าที่ถือบิตคอยน์ยาวนานเกิน 5 ปี รวมถึงมีค่าเฉลี่ยปริมาณการเทรดต่อวันเมื่อเทียบปริมาณคงค้าง ก็พบว่าอยู่ที่ระหว่างร้อยละ 20-50 ในขณะที่ทองคำเทรดกันไม่ถึงร้อยละ 1 อีกทั้งความผันผวนของราคาบิตคอยน์อยู่ที่ร้อยละ 20-28 ส่วนความผันผวนของหุ้นสหรัฐและทองคำไม่ถึงร้อยละ 5
อย่างไรก็ดี แม้นักลงทุนสถาบันบางแห่งจะประกาศว่าสนใจจะถือบิตคอยน์เพิ่มขึ้น ทว่าด้วยโครงสร้างตลาดรวมถึงสภาพคล่องของบิตคอยน์ ก็ยังถือเป็นการยากมาก ๆ จนอาจจะพูดได้ว่าแทบเป็นไปได้ที่บิตคอยน์จะกลายเป็นหนึ่งในชั้นสินทรัพย์สำหรับการลงทุนในเร็ววันนี้
ผมมองว่าดาลิโอเขียนบทความนี้ได้อย่างเป็นกลางค่อนข้างมาก ทว่ามีอยู่สองจุดซึ่งผมมองดาลิโออาจจะตั้งใจไม่เน้น คือความโปร่งใสของผู้ถือครองรายใหญ่ในโลกของบิตคอยน์ รวมถึงการสร้างเรื่องราวของบิตคอยน์ให้กลายเป็นดราม่าแห่งโลกการลงทุนผ่านการเขียนตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมถึงบทความ White Paper ในบิตคอยน์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับการสร้างเหตุการณ์ที่บ้านกกกอดในบ้านเราให้โด่งดัง ผ่านการปั่นกระแสเรื่องราวลุง ๆ ป้า ๆ ในหมู่บ้านดังกล่าวอย่างไม่น่าเชื่อ
เพียงแต่ว่าสำหรับบิตคอยน์นั้น มีความโลภและเม็ดเงินผสมเข้ามาเพื่อให้ติดตลาดได้ง่ายในยุคโควิด จนทำให้กลายเป็นเรื่องราวของการลงทุนแห่งยุคมิลเลนเนี่ยมได้ตามแบบช่องทีวีข่าวในบ้านเราได้เคยทำไว้
MacroView
ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/651942