ตลอดปีที่ผ่านมาของคอลัมน์ “เกี่ยวอะไรกับเรา” มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมายที่ผมได้กล่าวถึงทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยในฉบับครบรอบ 1 ปีนี้ ผมขอถือโอกาสประมวลมุมมองแนวโน้มความท้าทายโลกที่น่าจะส่งอิทธิพลต่อสภาพเศรษฐกิจสังคมและการลงทุนไปถึงสิ้นปี 2018 ดังนี้
1. “การก่อการร้ายข้ามชาติ”
การก่อการร้ายของ 4 องค์กรหลัก Islamic State, Al-Qaeda, Boko Haram, และTaliban ถึงแม้จะโดนกระชับพื้นที่การปฏิบัติการ แต่ดูเหมือนว่าลัทธิก่อการร้ายได้กลายพันธ์ ขยายวงนอกอาณาเขตตนเอง และทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ลักษณะ Lone wolf หรือการก่อเหตุแบบฉายเดี่ยวใน สหรัฐ เยอรมัน เบลเยียม ตุรกี อังกฤษ และล่าสุดที่ สเปน และฟินแลนด์
2. “ความขัดแย้งที่นำมาซึ่งความรุนแรงระหว่างรัฐ”
ทั่วโลก ยังคงมีสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น ปัญหา ระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน ซึ่งต่างฝ่ายไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง Minsk II จีนยังคงดำเนินการก่อสร้างฐานทัพในทะเลท่ามกลางการคัดค้านของนานาประเทศ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่ยังมองไม่เห็นข้อยุติ
3. “ความขัดแย้งที่นำมาซึ่งความรุนแรงในประเทศ”
สงครามกลางเมืองในประเทศซีเรียซึ่งมหาอำนาจหลายประเทศมีส่วนร่วมในการทำสงครามตัวแทน (Proxy war) ปัญหาความขัดแย้งในประเทศซูดาน โซมาเลีย และอัฟกานิสถาน ซึ่งทำให้ประชาชนกว่า 65 ล้านคน ไร้ที่อยู่หรือย้ายถิ่นฐาน และล่าสุดปัญหาความไม่สงบในประเทศเวเนซูเอลา ซึ่งดูเหมือนว่าอาจบานปลาย
4. “จำนวนมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่เพิ่มขึ้น”
ความตึงเครียดล่าสุดในคาบสมุทรเกาหลีระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ การขาดความต่อเนื่องในการบริหารสถานการณ์นิวเคลียร์ของอิหร่าน และความสัมพันธ์ที่ทดถอยของรัสเซียกับสหรัฐซึ่งเห็นได้จากการไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ของรัสเซียในครั้งล่าสุด และการระงับข้อตกลงร่วมในการทำลายพลูโตเนียมชนิดผลิตอาวุธกับสหรัฐ
5. “เสถียรภาพเศรษฐกิจโลกที่บอบบาง”
เศรษฐกิจโลกโตเพียง 3% ในปี 2016 โดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วโตเพียง1.6% ประเทศแทบอเมริกาใต้และแอฟริกาโตติดลบเพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง ธนาคารกลางส่วนใหญ่ดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบ ยกเว้นธนาคารกลางสหรัฐที่เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย
6. “การกำกับดูแลโลกไซเบอร์”
ปีที่ผ่านมามี Cyber Attack อยู่หลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาของสหรัฐว่ารัสเซียอยู่เบื้องหลัง Cyber Attack เพื่อชี้นำผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี เหตุการณ์ Ransomware หรือ ไวรัสเรียกค่าไถ่ WannaCry ซึ่งสร้างความเสียหายกับบริษัทในกว่า100 ประเทศบนช่วงเวลาแค่ 48 ชั่วโมง และล่าสุดเมื่อเดือน มิถุนายนไวรัสเรียกค่าไถ่ Petya ระบาดอย่างหนักในยูเครนและรัสเซีย ซึ่งแนวโน้มของ Cyber Attackน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
7. “การรับมือปัญหาโลกร้อน”
ถึงแม้ความตกลงปารีสได้รับการตอบรับอย่างเร็วจากประเทศผู้เข้าร่วม ซึ่งอาจมองได้ว่า เป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ในความพยายามลดภาวะโลกร้อน แต่เนื่องจากแต่ละประเทศกำหนดเป้าหมายกันเองโดยถึงแม้ว่าประเทศสมาชิกจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ได้ทั้งหมด ก็ยังห่างเป้าหมายหลักในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 2 องศา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น นายทรัมป์ซึ่งถือเป็นผู้ปฏิเสธปรากฏการณ์โลกร้อน ได้นำสหรัฐออกจากความตกลงปารีสยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น
8. “การขยายความเจริญไปสู่ประเทศด้อยโอกาส”
ปี 2015 เราเห็นเม็ดเงิน ความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการเพื่อการพัฒนาสูงถึง 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน หลายองค์กรสำคัญเช่น ธนาคารโลกก็ได้ขยายขนาดกองทุนตนเองในการช่วยเหลือกลุ่มประเทศด้อยโอกาส เพื่อต่อสู้กับความยากจนอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก 10% ซึ่งสูงสุดตั้งแต่หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการลดความยากจนอย่างรุนแรงให้เหลือศูนย์ยังคงไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะเป็นจริงได้เมื่อใด
9. “การค้าระหว่างประเทศ”
การค้าระหว่างประเทศเติบโตเพียง 1.6% ในปี 2016 โดยเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่โตต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยโลก ผลประชามติ Brexit และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาคดูเหมือนจะเปลี่ยนจากยุคโลกาภิวัตน์ ไปสู่การดำเนินนโยบายปกป้องทางการค้าผ่านแนวคิดชาตินิยมที่มากขึ้น
10. “พลวัตสุขภาพโลก”
2-3 ปี ที่ผ่านมาได้เห็นการระบาดของโรคร้ายแรงที่เพิ่มขึ้น เริ่มจากไวรัสอีโบลาในกลุ่มประเทศแอฟริกา ตามมาด้วยไข้ซิกาที่ระบาดไปกว่า 29 ประเทศ รวมถึงอหิวาตกโรคในเฮติ, เยเมน และโปลิโอ ในอัฟกานิสถาน, ปากีสถาน ซึ่งหลายกรณี การตอบสนองที่ล่าช้าขององค์การอนามัยโลกได้ทำให้โรคระบาด (epidemic) กลายเป็นโรคประจำท้องถิ่น (endemic) ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงปัญหาของการดื้อยาต้านจุลชีพ ซึ่งทำให้โรคร้ายแรงบางประเภทไม่สามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทั่วไปได้
…จากข้อสังเกตข้างต้นจะพบว่า โลกมีความท้าทายอีกมากที่เรายังต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด
ที่มาบทความ : http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/642266