ความสำเร็จในชีวิตมีอยู่หลายรูปแบบซึ่งขึ้นอยู่กับเป้าหมาย มุมมอง และความพึงพอใจของแต่ละบุคคล แต่ในโลกของทุนนิยมคงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลายคนจะไม่ฝันถึงความสำเร็จทางด้านการเงิน ความสำเร็จที่เมื่อคุณตื่นเช้ามาแล้วไม่ต้องกังวลใจถึงตัวเลขในบัญชีว่าจะมีพอใช้สำหรับเดือนนั้นหรือเปล่า ความสำเร็จที่ทำให้คุณปลดปล่อยจากพันธะของชีวิตมนุษย์เงินเดือนและมีสิทธ์ในการเลือกใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการได้มากขึ้น มีหลายคนไม่น้อยที่สามารถนำพาตัวเองไปสู่จุดนั้นได้ ซึ่งผมเชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยที่เคยอ่านหรือศึกษาประวัติชีวิตของบุคคลเหล่านี้มากก่อนและคงเป็นเรื่องดีไม่น้อยถ้าเราสามารถรู้ถึงหลักการบางอย่างที่นำพาพวกเขาไปสู่จุดนั้นได้
ด้วยความความตั้งใจที่อยากจะประสบความสำเร็จทางการเงินผมก็ได้ลองค้นหาข้อมูลต่างๆนาๆบนอินเตอร์เนตซึ่งวันหนึ่งผมก็ได้ไปเจอกับวีดีโอของ Institute of Trading ของคุณ Anton Kreil โดยเขาเป็นอดีตเทรดเดอร์ที่ Goldman Sachs และตอนนี้ออกมาจัดตั้ง Institute of Trading ซึ่งเป็นสถาบันที่สอนนักลงทุนรายย่อยเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นและค่าเงิน โดยในวีดีโอนั้นเขาได้พูดถึงหลักการ 10 ข้อที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อพิชิตอิสรภาพทางการเงินได้ (สามารถเข้าไปดูวีดีโอได้ตามลิงค์ที่แปะไว้ด้านล่างครับ)
1) เคารพคุณค่าของเงินและการไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับมัน
สาเหตุคนเราที่มักทำผิดพลาดเกี่ยวกับการตัดสินทางการเงินมาจากการที่พวกเขาไม่มีความเคารพให้กับคุณค่าของตัวเงิน โดยที่คนเราไม่เข้าใจถึงหน้าที่ของเงินหรือทำไมมันถึงมีตัวตนด้วยซ้ำ เขายกตัวอย่างโดยให้ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว ระบบเศรษฐกิจที่เรารู้จักกันคงจะไม่สามารถทำงานได้แม้แต่น้อย คงได้เห็นพวกเรากลับไปใช้วิธีแลกหมูแลกหมากันแน่ๆแบบในอดีต เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นถึงสาเหตุของการมีตัวตนของเงิน เขาแนะนำให้ไปหาความหมายของ Double Coincidence of Wants แล้วคุณจะเข้าใจทันทีว่าทำไมเงินถึงต้องมีตัวตนและหน้าที่ของมันในระบบเศรษฐกิจ เพราถ้าไม่มีเงินเราคงอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่แลกหมูแลกหมากันจริงๆเพื่อซื้อชายสินค้าและบริการ (Barter Economies) และสิ้นค้าทุกอย่างที่เราบริโภคกันในปัจจุบันคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากสื่อกลางอย่างเงิน เงินคือกลไกที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจทำงานและถ้าคุณเข้าใจว่าเงินถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาของ Double Coincidence of Wants คุณจะมีความเคารพให้กับเงินมากขึ้น
เขากล่าวต่อว่าคนเรามีความเข้าใจว่าความต้องการเงินมากๆนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเพราะพวกเขาแยกแยะไม่ออกระหว่าง” ความโลภเชิงบวกหรือความต้องการเงินเพื่อให้ตัวเองและคนรอบข้างดีขึ้น” กับ “ความโลภเชิงลบหรือความต้องการเงินที่ได้มาโดยมิชอบ” โดยที่อันแรกนั้นเป็นแบบที่ดีและไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ในขณะที่อีกอันนั้นคือการได้มาด้วยการที่ต้องทำร้ายผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่สุขสบาย โดยที่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นแบบที่สองถ้าคุณเข้าใจถึงหน้าที่ของเงินและมีความเคารพต่อมัน แล้วคุณจะตระหนักว่าเงินไม่ใช้รากฐานของความชั่วร้ายแต่คือความโลภเชิงลบต่างหากที่เป็นต้นเหตุ เพราะฉะนั้นทำความเข้าใจถึงหน้าที่ของเงินในระบบเศรษฐกิจ และแยกแยะให้ออกระหว่าง”ความโลภเชิงบวก” กับ “ความโลภเชิงลบ” แล้วคุณจะมีความเคารพให้กับคุณค่าของเงินได้ดีขึ้น
อีกข้อนึงที่เรามักทำพลาดเกี่ยวกับการตัดสินใจทางการเงินคืออารมณ์ของพวกเราเกี่ยวกับมัน โดยเขาได้ยกตัวอย่างโดยนำเงิน $20 (ประมาณ 600 บาท) $100 (ประมาณ 3,000 บาท) $1000 (ประมาณ 30,000 บาท) และ $5000 (ประมาณ 150,000) ออกมาแล้วถามคำถามเดียวกันว่าคุณคิดยังไงเกี่ยวกับมันซึ่งแน่นอนว่าจำนวนเงินเยอะขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งทำให้เรานึกถึงสิ่งของที่เราสามารถซื้อได้ด้วยมัน แต่คราวนี้เขาถามใหม่ว่าแล้วคุณคิดว่างเงินคิดยังไงกับคุณซึ่งคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันไม่มีความคิดเห็นอะไรยังไงกับคุณทั้งนั้นเพราะมันเป็นแค่กระดาษใบหนึ่งที่มีตัวเลขสลักไว้ เป็นแค่สินค้าโภคภัณฑ์ที่ไว้ใช้ซื้อขายบริการและสินค้าเพื่อตอบสนองอุปสงค์ของคนใดคนหนึ่งเท่านั้น และปัญหาที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดบนโลกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเงินแต่เกิดขึ้นจากความคิดเห็นของพวกเราทั้งสิ้นเกี่ยวกับมันเพราะไม่ว่าจะเป็นเงินตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักล้านมันก็ไม่คิดอะไรยังไงกับคุณทั้งสิ้น ก็แค่กองกระดาษที่มูลค่าต่างกันเท่านั้น
ปัญหาก็คือยิ่งเงินมากขึ้นเท่าไหร่เราก็ยิ่งนึกถึงมันมากขึ้นเท่านั้นเพราะคุณคิดโดยอัตโนมัติว่ามันจะสามารถตอบสนองอะไรให้คุณได้บ้าง การแก้ปัญหานี้ก็คือการไม่สนใจมันโดยการลดความรู้สึกของเราเกี่ยวกับมันให้เหลือศูนย์ ถ้าคุณทำได้เงินจะวิ่งเข้าหาคุณเองเพราะคุณจะตระหนักว่ามันทำอะไรให้คุณได้บ้างและในขณะเดียวกันคุณก็จะสามารถควบคุมและเพิกเฉยต่อสิ่งที่มันสามารถตอบสนองคุณได้
2) การเช่าเพื่อเป็นเจ้าของ – นิยามให้ชัดเจนระหว่างสินทรัพย์และหนี้สิน
อีกสิ่งที่คนเข้าใจผิดคือนิยามของสินทรัพย์และหนี้สิน โดยเขาได้ยกตัวอย่างของสินเชื่อบ้านที่พวกเราหลายคนน่าจะรู้จักดีและต้องจ่ายกันทุกเดือนให้กับธนาคาร โดยสินเชื่อบ้านน่าจะเป็นหนี้สิ้นก้อนใหญ่ที่สุดที่เราหลายคนสร้างขึ้นมา แต่คงจะดีกว่าถ้าเราจะซื้อบ้านด้วยเงินสดเพื่อเป็นเจ้าของในสินทรัพย์นั้นทันทีและไม่มีหนี้สิ้นติดตัวกับเราไปอีกสิบๆปีโดยที่สุดท้ายแล้วอาจจะต้องจ่าย 2-3 เท่าของราคาที่ซื้อมารวมดอกเบี้ย ซึ่งนี่คือหลักการของคนรวยหลายๆคนที่เข้าใจถึงนิยามของหนี้สิ้นและทรัพย์สิน พวกเขาซื้อด้วยเงินสดทันทีเพื่อไม่ให้มีหนี้สินติดตัวพวกเขาแม้แต่วินาทีเดียว แต่สำหรับใครคนอื่นอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะซื้อได้ด้วยเงินสดเพราะฉะนั้นพวกเขารู้สึกว่าเหมือนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการกู้ยืม ซึ่งอันที่จริงพวกเขามีโดยแทนที่จะกู้เงินสร้างหนี้สินเพื่อมาซื้อสินทรัพย์เพื่อผ่อนไปอีก 25 ปีก็ให้เช่าสินทรัพย์เช่นบ้านแทน หลายคนชอบถือว่าการเช่าบ้านเป็นหนี้สิ้นทั้งๆที่จริงมันไม่ใช่ เพราะถ้าคุณเช่าบ้านมันก็เสมือนว่าคุณไม่มีความเสี่ยงใดๆทั้งสิ้นในสินทรัพย์ตัวนั้น คุณสามารถที่จะเลิกเช่าและเดินออกอย่างอิสระเสรีได้ทันทีในเดือนต่อมา เพราะฉะนั้นอิสรภาพก็คือทรัพย์สินประเภทหนึ่ง แต่หลายคนชอบเข้าใจว่าการที่ไปกู้ยืมเพื่อซื้อสินทรัพย์ยกตัวอย่างเช่นบ้านถือเป็นการได้มาซึ่งสินทรัพย์ ซึ่งอันที่จริงไม่ใช่เพราะมันคือภาระทางการเงินอันหนักอึ้งและคุณจะไม่มีวันหลุดพ้นจากภาระนี้ได้เลยจนกว่าคุณจะไถ่ถอนจนหมด ไม่ใช่แค่บ้านเท่านั้นยังรวมถึง เครดิตการ์ด หรือ เงินกู้ซื้อรถ ก็ถือเป็น ภาระทางการเงินเช่นกัน ซึ่งวิธีการแก้ที่ดีที่สุดคือการซื้อด้วยเงินสดทุกครั้งที่เป็นไปได้ เพราะการเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ในทันทีถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ซึ่งถึงแม้ว่าคุณจะเช่าไป 10-20 ปี โดยราคาของสินทรัพย์ที่คุณเช่าปรับตัวสูงขึ้นก็ไม่เป็นไรเพราะในช่วงระหว่างนั้นคุณไม่มีภาระหนี้สิ้นใดๆแม้แต่น้อย แถมคุณยังมีอิสรภาพในมือคุณตลอดเวลาในช่วงนั้นซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากประเภทหนึ่ง จงจำไว้ว่าระบบการกู้ยืมเพื่อซื้อสินทรัพย์โดยแลกมากับหนี้สิ้นก้อนโตไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตัวคุณ แต่เอื้อประโยชน์ต่อคนที่เป็นเจ้าของระบบเพราะฉะนั้นคุณต้องสร้างระบบของคุณขึ้นมาเองเพื่อหลุดพ้นจากวงจรอุบาทนี้
3) สร้างระบบของคุณเอง
วิธีการสร้างระบบของคุณขึ้นมาเองแทนที่จะไปเล่นในระบบของคนอื่นก็ค่อนข้างที่จะชัดเจนอยู่แล้วก็คือการเก็บเงินและสร้างฐานสินทรัพย์ของคุณขึ้นมา โดยฐานสินทรัพย์ที่เขาหมายถึงก็คือการเป็นเจ้าของกิจการหรือก็คือการเป็นเจ้านายตัวเองและใช้สินทรัพย์พวกนี้สร้าง passive income ให้กับคุณ Anton ยังเน้นไปอีกว่าคุณไม่จำเป็นจะต้องเริ่มด้วยเงินมากมายก่ายกองเพื่อที่จะสร้างธุรกิจขึ้นมาอันนึงเพราะมันมีเป็นล้านวิธีที่จะสร้างเงินล้านขึ้นมา
ส่วนในช่วงระหว่างจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดที่คุณเป็นเจ้าของฐานสินทรัพย์พวกนั้นก็คือการเก็บเงินและไม่สร้างหนี้สินโดยคุณต้องยอมกัดก้อนเกลือหรือแม้แต่กลืนศักดิ์ศรีของคุณหากคุณมุ่งมั่นที่จะปรสบความสำเร็จเพราะมันไม่มีความสำเร็จชั่วข้ามคืนแต่มีแต่ความสำเร็จชั่วข้ามคืนหลังจากผ่านไปแล้วอีก 20 ปี แต่สิ่งที่จะทำให้คุณเก็บเงินและไม่ก่อหนี้สินขึ้นมานั้นก็ต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นของกฎข้อแรกคือ เข้าใจในหน้าที่ของเงิน เคารพคุณค่าในตัวเงิน และ ไม่มีอารมณ์ร่วไปกับมัน Anton ยังได้ยกตัวอย่างของระบบที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเอื้อต่อคนอย่างเรา เช่น ระบบประกันภัยซึ่งถูกออกแบบมาให้เรากลัวต่อสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตเช่น อุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บ โดยที่พวกเขาจ่ายคืนเรามาต่อปีตามสัญญาในระดับที่น้อยมากเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทของพวกเขาจะไม่เสียประโยชน์ใดๆให้กับลูกค้าของพวกเขา (ใครจ่ายใครกันแน่) เพราะฉะนั้นวิธีการสร้างประกันที่ดีที่สุดก็คือการสร้างฐานสินทรัพย์ของคุณขึ้นมาให้มันสร้างความมั่งคั่งให้กับคุณเพื่อใช้จ่ายในยามวิกฤติเช่นนี้
4) ออกไปท่องเที่ยว เก็บเกี่ยวโลกทัศน์ และ ใช้ชีวิตแบบที่คุณใฝ่ฝัน
การที่เราสร้างระบบของตัวเองขึ้นมาอย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้าเปิดโอกาสให้เราสามารถออกไปท่องเที่ยวและเปิดรับมุมมองเกี่ยวกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศนั้นๆเพราะคุณสามารถเลือกที่จะทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ตามกรอบกำหนดของคุณเอง หรือพูดง่ายๆก็คือระบบที่เราสร้างขึ้นมาทำให้เรามีอิสรภาพในการใช้ชีวิตมากขึ้นและอิสรภาพก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากอันนึง โดยที่การออกไปท่องเที่ยวจะทำให้คุณตระหนักและซาบซึ้งในอิสรภาพนั้นได้ดีขึ้น การท่องเที่ยวในนิยามของคุณ Anton ไม่ใช่ไปเที่ยว 2-3 อาทิตย์แล้วกลับบ้านเกิดแต่หมายถึงออกไปเที่ยวจริงๆจังๆ 1-2 ปีในทุกๆที่ที่โลกนี้จะสามารถให้เราไปได้เพราะคุณจะไม่มีวันซาบซึ้งในอิสรภาพจริงๆจังๆจนกว่าคุณจะได้ลองสัมผัสมันทั้งหมดและการไปท่องเที่ยวคือการเปิดรับข้อมูลใหม่ๆในชีวิตคุณให้รู้ว่าคุณอยากจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหนที่คุณต้องการ เมื่อคุณรู้ตัวว่าคุณอยากได้ชีวิตแบบไหนคุณจะสามารถกลับมาทำงาน เก็บเงิน และสร้างฐานสินทรัพย์ ได้อย่างมุ่งมั่นเพราะคุณรู้ว่าอะไรรอคุณอยู่ที่ปลายอุโมงค์ มันนำมาซึ่งความชัดเจนในเป้าหมายชีวิตคุณ
5) ความเสี่ยงเป็นเรื่องของความเห็นส่วนตัว
หลายคนชอบมองว่า “ยิ่งเสี่ยงมากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสกำไรหรือขาดทุนมากขึ้น” โดยในโลกแห่งความจริงความเสี่ยงนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน เขาได้ยกตัวอย่างเช่นสมมติว่ามีมนุษย์เงินเดือนคนนึงทำเงินได้ $50,000 ต่อปีแล้วอยู่ดีคืนดีเขาตัดสินใจที่จะลาออกโดยไม่ได้มีงานใหม่รองรับไว้ downside ของเขาคืออะไร มันชัดเจนอยู่แล้วก็แค่เงิน $50,000 ที่เขาจะไม่ได้มันอีกต่อไปต่อปีหรือหากเขาหางานใหม่ได้แล้วได้น้อยกว่า $50,000 เขาก็มี downside ที่น้อยกว่า $50,000 หรือแคบมากๆ พูดง่ายๆคือ downside ของเขาค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ upside เขาก็คือรายได้ต่อปีเท่าไหร่ก็ได้ที่มากกว่า $50,000 ไปจนถึงอนันต์เพราะฉะนั้นหากเราคำนวณความเสี่ยง upside vs. downside แล้วคนนี้แทบไม่มีอะไรต้องเสียเลย แต่ปัญหาคือคนมักชอบยึดติดกับจำนวนเงินที่เคยได้ในอดีตแล้วใช้มันไปก่อหนี้ในระดับที่ใกล้เคียงกับรายได้เพราะคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะใช้คืนหนี้ก้อนนี้ซึ่งในความเป็นจริงถือว่าเสี่ยงกว่าลาออกจากงานด้วยซ้ำเพราะเมื่อคุณสร้างหนี้ขึ้นมาคุณจะไม่สามารถคำนวณความเสี่ยงได้อย่างมีเหตุมีผล คุณอาจจะต้องติดกับในระบบหนี้สิ้นนี้ไปจนทำให้คุณมองทุกการตัดสินใจของคุณคือความเสี่ยงที่จะตามมา Anton กล่าววิธีมองความเสี่ยงคือประเมินความเสี่ยงตัวเองให้เหมือนกับการทำธุรกิจโดยการลดหนี้สินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือก็คือลด downside และเปิด upside ให้กับตัวเอง หากพูดในมุมมองของส่วนบุคคลก็คือให้ลองออกมาดูตัวเองใหม่ ปลดล็อคหนี้สิน และ ทำงานหนักให้ได้มาซึ่งอิสรภาพ และเมื่อนั้นคุณจะสามารถมองความเสี่ยงได้อย่างมีเหตุมีผลมากขึ้นโดยการเน้นย้ำไปทีการประเมิน downside vs. upside เสมอ
6) มองหาการศึกษาทางเลือก
ในหลายข้อก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงหลายเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงทำผิดพลาดในการตัดสินเกี่ยวกับการเงินของพวกเขา Anton จึงได้ให้คำตอบไว้อย่างนี้ว่าเพราะพวกเขาถูกหล่อหลอมขึ้นมาในระบบการศึกษาดั้งเดิมที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้เรียนเติบใหญ่ไปเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเพราะเห็นได้ชัดว่ามันไม่มีหลักสูตรอย่างนี้บรรจุอยู่ในหลักสูตรและอาจารย์ของพวกเขาก็จะไม่มีวันสอนมันเพราะมันเป็นเรื่องของ conflict of interest อารมณ์ประมาณว่าฉันจะสอนไปทำไมในเมื่อมันไม่ได้อยู่ในหลักสูตรหรือแม้แต่ถ้าคุณเข้าไปทำงานโดยมี mentor คอยดูแลคุณ พวกเขาก็มี conflict of interest เช่นเดียวกันเพราะถ้าเขาสอนงานคุณ สักวันหนึ่งคุณอาจจะโตในหน้าที่การงานจนมาต่อกรกับตำแหน่งของเขาในอนาคตได้เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ถึงความสำเร็จคือหาคนที่ประสบความสำเร็จในแนวทางเดียวกับคุณโดยที่เขาไม่มี conflict of interest กับความสำเร็จของคุณ ยกตัวอย่างเช่นถ้าพ่อแม่คุณเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในแนวทางเดียวกับคุณ คุณควรขอคำปรึกษาจากพวกท่านแต่ถ้าหากว่าไม่คุณควรหาทางเลือกอื่นที่ดีกว่า แต่ถึงกระนั้นพ่อแม่คุณก็จะยังมี conflict of interest เช่นเดียวกันเพราะพวกท่านอยากปกป้องคุณและให้คุณประสบความสำเร็จในแบบที่พวกเขาวาดฝันไว้เพราะฉะนั้นคุณควรหาคนที่ประสบความสำเร็จที่ไม่มี conflict of interest ถึงจะถือว่าดีที่สุด
7) เรียนรู้ที่จะให้เกียรติเวลาของคุณ
ในขณะที่เดินข้ามสะพานและเห็นผู้คนเดินไปมา Anton ก็ได้กล่าวถึงสิ่งสำคัญอีกข้อนึงคือการให้เกียรติเวลา โดยเขาได้ให้ตัวอย่างจากคนที่เดินไปมาบนท้องถนน ที่จบออกมาจากระบบการศึกษาดั้งเดิมและทำงานในบริษัทต่างๆเพื่อแลกมากับเงินรายเดือน คนเหล่านี้เป็นคนที่มีภาระทางการเงินและเขาใช้เงินเดือนของพวกเขาในการผ่อนหนี้สิน ส่วนที่เหลือก็ใช้มันจนหมดโดยสุดท้ายแล้วก็คือไม่เหลืออะไรหรือเหลือน้อยมากสำหรับเก็บออมในบัญชีพวกเขา พูดง่ายๆคือคนเหล่านี้แลกเวลาของพวกเขาไปฟรีๆ คนเหล่านี้อาจจะมีตำแหน่งใหญ่โตเขียนอยู่บนนามบัตรพวกเขา แต่ Anton บอกว่าบัตรที่สำคัญที่สุดคือบัตรที่คุณสอดเขาไปที่ตู้กดเงินต่างหากและถ้าคุณคิดว่า Anton คิดผิดก็ลองสอดบัตร ATM เข้าไปในตู้แล้วลองดูตัวเลขที่จ้องมองกลับมาที่คุณเพราะนั้นจะบอกได้ว่าคุณคิดผิดหรือถูกเอง เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้การให้เกียรติเวลาของคุณ
8) ทิ้ง Smart phone ไปสะ!
ต่อยอดจากเรื่องก่อนหน้าเกี่ยวกับการให้เกียรติเวลาโดยยกตัวอย่างการทิ้ง smart phone เป็นต้น เขากล่าวว่าเมื่อก่อนเขาก็มี smart phone ใช้เช่นกันแต่เขาทิ้งมันเมื่อ 2 ปีก่อน (ตอนสัมภาษณ์ปี 2015) เขาบอกว่า smart phone เดียวนี้เต็มไปด้วยแอพทั้งอีเมลและพวก instant messaging (ex. Line, Whatsapp, etc.) ซึ่งสร้างความรบกวนเป็นอย่างมากและส่วนใหญ่ข้อมูลที่ส่งมาก็ไม่ได้มีสาระอะไรที่เป็นประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตทั้งนั้น เขายังเสริมอีกว่าเดียวนี้เราก็เห็นกันชัดอยู่แล้วในร้านอาหารผู้คนต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นตลอดเวลาทำให้เรายิ่งเป็นพวกไร้สังคมเข้าไปอีกเพราะฉะนั้นมันไม่ดีทั้งในเชิงธุรกิจและสังคม หากลองคิดเหตุการณ์นี้เป็นตัวเลขลองสมมติว่าคุณให้ค่ากับเวลาของคุณต่อชั่วโมงที่ $100 และถ้าหากคุณเล่นมือถือวันละชั่วโมง ในหนึ่งปีคุณจะเสียเวลาของคุณไปถึง $36,500 (ประมาณ 1,095,000 บาท) หรือถ้าคุณให้ค่ากับเวลาคุณที่ $1000 นั่นเท่ากับ $365,000 (ประมาณ 10,950,000 บาท) เพราะฉะนั้นนี่ต่างหากเงินที่คุณเสียไปหากไม่ให้เกียรติเวลาของคุณ เคยมีคนถามเขาว่าถ้าไม่มี smart phone แล้วจะตามข่าวสารในตลาดทันได้ยังไงซึ่งเขาว่ามันไร้สาระมากเพราะถ้าคุณเข้าใจตลาดการเงินจริง คุณจะรู้ว่าสิ่งที่ออกมาในข่าวนั้นมันช้าไปแล้วที่จะทำให้คุณได้เปรียบกว่าคนอื่นในตลาด Anton แนะนำว่าให้หักดิบไปเลยโดยการลองทิ้ง smart phone สัก 1-2 เดือนแล้วดูว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร เขารับรองว่าชีวิตคุณจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
9) สื่อนั้นไม่มีประโยชน์ อย่าไปเสพมัน
สื่อเดียวนี้ออกแบบมาในทุกขนาดและทุกรูปแบบเพื่อตอบสนองกับความต้องการหรือจุดประสงค์ของผู้เสพ ซึ่งสื่อเหล่านี้ปั้มข้อมูลข่าวสารที่ 99% ของเนื้อหาไม่มีประโยชน์หรือเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตคุณทั้งสิ้นและยังทำให้คุณติดงอมแงมเพื่อกลับมาดูมันเรื่อยๆเพราะนั่นคือผลประโยชน์แอบแฝงของสื่อทุกที่ไม่ว่าจะเป็นสื่ออย่าง FOX News ในอเมริกาหรือสื่อของเกาหลี เหนือ พวกเขาต่างมีผลประโยชน์แอบแฝงแบบเดียวกันหมดก็เพื่อเรตติ้งและค่าโฆษณาที่จะตามมา เพราะฉะนั้นหากจะบริโภคสื่ออะไรให้มั่นใจว่า สื่อเหล่านั้นจะช่วยเพิ่มคุณค่าให้แก่ตัวคุณได้ถ้าคุณอยากที่จะประสบความสำเร็จและมีอิสรภาพ
10) เลือกแบบอย่างที่สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ
นี่คือปัญหาของคนในปัจจุบันที่อยู่ในยุคของสื่อมีเดียครองโลกเพราะเด็กสมัยนี้ยึดแบบอย่างเป็นเหล่าดาราและเหล่าคนดังทั้งๆที่คนเหล่านี้ไม่มีประวัติในอดีตที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตของคุณ ดาราและคนดังในวงการต่างถูกจ้างมาเพื่อใช้เป็นสื่อในการโปรโมทผลประโยชน์แอบแฝงของแต่ละสถานีเพื่อได้มาซึ่งเรตติ้งเหมือนกับที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ในข้อ 9 เพราะฉะนั้นหากคุณอยากหาแบบอย่างที่ช่วยคุณบรรลุเป้าหมายของคุณก็ให้เลือกคนที่มีประวัติย้อนหลังและลักษณะของเป้าหมายเดียวกันกับคุณ
Source : https://www.youtube.com/watch?v=4a51wQAOGR4&t=1s