THIP – บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)
ศึกษาธุรกิจ THIP ก่อนการลงทุน
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “บริษัทมีรายได้จากอะไร รายได้มั่นคงหรือชั่วคราว”
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “บริษัทจะโตเพราะอะไร โตเท่าไหร่”
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “บริษัทมีโอกาสเติบโตเท่าไหร่ ยั่งยืนไปอีกนานเท่าไหร่”
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “ถ้าต้องห้ามขายเป็นเวลา 10 ปี จะยังซื้ออยู่หรือเปล่า”
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “หากไม่เป็นไปตามที่คาด โอกาสขาดทุนจากราคาปัจจุบันมีมากขนาดไหน”
การหาข้อมูลจะอิงตามกฏ 5 ข้อข้างต้น
ข้อที่ 1 บริษัทมีรายได้จากอะไร รายได้มั่นคงหรือชั่วคราว?
ประเภทรายได้ 3 หมวดหมู่
1) ถุงพลาสติก 82.3%
- ถุงพลาสติกถนอมอาหาร SUNZIP
- ถุงยืดอายุผัก ผลไม้ Fresh & Fresh
- ถุงขยะ SUNBAG SUNBIN
- ถุงพลาสติกใส่นมแม่ SUNMUM
2) หลอดดูดเครื่องดื่ม 11% SUNSTRAW
3) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ 6.7% เป็นการจัดหาผลิตภัณฑ์และ OEM ให้รายอื่นตาม order
Remark:
- รายได้ถุงพลาสติกเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงสรุปได้ว่าการเติบโตของบริษัทจะ
- รายได้หลอดดูดกลางๆ ไม่มีการเติบโต
- รายได้อื่นๆไม่มีการเติบโตที่มีนัยสำคัญ
- ลูกค้ามีทั้งภายในประเทศ 14% และต่างประเทศ 85%
- รายได้ตาม order ของลูกค้าที่ต้องการผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ไม่ใช่รายได้ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และรายได้จะอิงแนวโน้มการใช้ถุงพลาสติก
ข้อที่ 2 บริษัทจะโตเพราะอะไร โตเท่าไหร่?
เนื่องจากรายได้ที่โตชัดเจนของบริษัทคือถุงพลาสติก เพราะฉะนั้นจะต้องดูว่าอุตสาหกรรมถุงพลาสติกมีอนาคตที่ดีหรือไม่
บริษัทส่งออกพลาสติกเป็นส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นยุโรปตะวันตก รองลงมาคือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และอื่นๆ
จากข้อมูลยอดขายย้อนหลังไปหลายปี พบว่าบริษัทมียอดขายเติบโตขึ้นทุกปี เติบโตเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา 13.3% และที่น่าสนใจกว่าคือบริษัทมี margin ที่เติบโตขึ้นด้วย ทำให้กำไรสุทธิเติบโตขึ้นเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา 39%
บริษัทมีแนวโน้มยอดขายถุงพลาสติกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีทั้งลูกค้าจากในและต่างประเทศที่มียอดการสั่งซื้อมากขึ้น สามารถคาดการณ์ได้ระดับหนึ่งว่าการใช้ถุงพลาสติกจะยังคงสูงขึ้น
แต่อย่างไรก็ได้กำไรสุทธิของบริษัทนั้นถึงแม้จะสามารถบริหารได้ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องเจอกับต้นทุนอย่างราคาเม็ดพลาสติก ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่แน่นอน ถึงแม้รายได้อาจจะสามารถโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กำไรอาจจะแกว่งได้หากต้นทุนดังกล่าวผันผวน
บริษัทยังมีแนวโน้มโตต่อไป คาดว่ายอดขายจะยังสามารถโตได้ที่ 10–15% และหากอัตรากำไรดีขึ้น กำไรสุทธิอาจโตได้ถึง 15–20% แต่ทั้งนี้ต้องติดตามเรื่องของราคาต้นทุน
ข้อที่ 3 บริษัทมีโอกาสเติบโตเท่าไหร่ ยั่งยืนไปอีกนานเท่าไหร่?
- จากแนวโน้มการใช้พลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดหากมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง
- การแข่งขันอุตสาหกรรมนี้จะต้องเจอคู่แข่งที่มีต้นทุนต่ำกว่าทั่วโลก แต่บริษัทดำเนินธุรกิจมายาวนาน มีฐานะลูกค้ามากพอสมควร ทำให้ได้เปรียบผู้เล่นรายใหม่ และการที่ลูกค้าจะเปลี่ยนเจ้าก็มีแนวโน้มยากเพราะมีความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานที่ไม่แน่ว่าจะดีกว่าของบริษัท
- รายได้มีแนวโน้มเติบโตขึ้น แต่กำไรอาจจะผันผวนตามราคาต้นทุนคือ เม็ดพลาสติก ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้กำไรสุทธิแกว่งได้ แต่ไม่เป็นผลกระทบระยะยาว
- บริษัทมีพื้นฐานการผลิตพลาสติกมายาวนาน มีความเชี่ยวชาญในเรื่องพลาสติก สามารถพัฒนาพลาสติกรูปแบบใหม่ๆที่ตอบโจทย์ตลาดได้
ข้อที่ 4 ถ้าต้องห้ามขายเป็นเวลา 10 ปี จะยังซื้ออยู่หรือเปล่า?
ความมั่นใจในตัวบริษัทจะต้องขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและอุตสาหกรรมของบริษัทมีความยั่งยืนหรือไม่
- การใช้ถุงพลาสติกมีความน่าจะเป็นอย่างมากว่าจะยังคงมีต่อไปในอีก 10 ปี
- จากรูปพบว่าบริษัทมีแนวโน้ม ROE ที่ดี ไม่ผันผวน แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแรง
- สังเกตุว่าในช่วงปี 2008 ROE ตกลงอย่างมาก เนื่องมาจากภาวะวิกฤตที่อาจจะทำให้ในปีนั้นต้นทุนของบริษัทสูงขึ้น เช่นอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้กำไรลดลง จึงเป็นผลทำให้ ROE ลดลง แต่ก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น ทำให้มั่นใจได้ว่าบริษัทแข็งแกร่งพอที่จะอยู่รอดต่อสภาวะวิกฤตในอนาคตได้
- ในปี 2008 บริษัทมี margin น้อยมากจากต้นทุนหลายอย่างที่เพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤต แต่บริษัทก็กลับมาเป็นปกติได้ในปีต่อมา
- ข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือข้อมูลของบริษัทหาค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นบริษัทที่ไม่ได้ออกสื่อบ่อยนัก และข้อมูลของผู้บริหารหายากพอสมควร
ข้อที่ 5 หากไม่เป็นไปตามที่คาด โอกาสขาดทุนจากราคาปัจจุบันมีมากขนาดไหน?
การหาโอกาสขาดทุนจะต้องดูจากปัจจัยของราคาตลาดที่จะซื้อและโอกาสที่บริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามคาด
- บริษัทมี PE, PBV ย้อนหลังที่ค่อนข้างต่ำมาโดยตลอด และในปีปัจจุบันก็มี PE, PBV ที่เริ่มสูงขึ้น แต่เนื่องจาก ROE ของบริษัทก็สูงขึ้นก็เป็นเหตุผลที่ดีที่ทำให้ PE, PBV สูงขึ้นมา
- การเติบโตของบริษัทย้อนหลัง 5 ปี รายได้โตเฉลี่ยที่ 13% และกำไรสุทธิโตเฉลี่ยที่ 39% ดังนั้น หากคำนวนราคาด้วย PEG จะพบว่า PE ยังต่ำกว่าการเติบโตเล็กน้อย
- ในระยะสั้นจะมีความผันผวนของราคาหุ้น หากต้องการลงทุนระยะสั้นจะมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากราคาหุ้นสูงทำให้สภาพคล่องน้อยมาก ดังนั้นขาดทุนจะไม่สามารถขายออกได้ทัน
- ปันผลบริษัทนั้นอยู่ประมาณค่าเฉลี่ยของตลาด แต่มีปันผลที่เติบโตขึ้นทุกปีอย่างชัดเจน และจะยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามรายได้ของบริษัท ดังนั้นจะเป็นส่วนช่วยลดความเสี่ยงลงได้ ปีล่าสุดคาดว่าจะสามารถได้ yield ที่ 3%
- หากตลาดหุ้นเกิดวิกฤตตกลง 40–50% บริษัทถือว่ายังมีการเติบโตรองรับอยู่จึงถือว่าค่อนข้างปลอดภัย และยังสามารถซื้อเพิ่มได้ด้วย
สรุป
- บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในแต่ละปีมาโดยตลอด แต่แน่นอนว่าจะต้องถึงจุดที่อัตราส่วนต่างๆจะไม่สามารถดีขึ้นได้แล้ว
- ยอดขายถุงพลาสติกยังโตขึ้นต่อเนื่องจากสภาวะความต้องการของตลาดโลกที่ยังเพิ่มตัวขึ้น แต่จะต้องติดตามแนวโน้มหากมีการเปลี่ยนแปลง และบริษัทจะยังสามารถปรับตัวทันได้หรือไม่
- ต้นทุนเม็ดพลาสติก ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยนมีผลกระทบต่อบริษัทโดยตรงแต่เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น หากเกิดขึ้นอาจจะทำให้กำไรลดลง แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการซื้อหุ้นเพิ่มได้
- จัดอยู่ในบริษัทประเภทเติบโต แต่ระยะยาวจะเติบโตช้าลงทำให้เข้าสู่บริษัทประเภทแข็งแกร่งแทน
ที่มาบทความ : https://medium.com/investdiary