ASK – บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน)
วิเคราะห์หลักทรัพย์ ASK ก่อนการลงทุน
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “บริษัทมีรายได้จากอะไร รายได้มั่นคงหรือชั่วคราว”
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “บริษัทจะโตเพราะอะไร โตเท่าไหร่”
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “บริษัทมีโอกาสเติบโตเท่าไหร่ ยั่งยืนไปอีกนานเท่าไหร่”
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “ถ้าต้องห้ามขายเป็นเวลา 10 ปี จะยังซื้ออยู่หรือเปล่า”
- ต้องหาคำตอบได้ว่า “หากไม่เป็นไปตามที่คาด โอกาสขาดทุนจากราคาปัจจุบันมีมากขนาดไหน”
การหาข้อมูลจะอิงตามกฏ 5 ข้อข้างต้น
ข้อที่ 1 บริษัทมีรายได้จากอะไร รายได้มั่นคงหรือชั่วคราว?
ประเภทรายได้ 4 หมวดหมู่
1) สินเชื่อเช่าซื้อ 82%
- สินเชื่อส่วนใหญ่คือรถยนต์มือหนึ่งและมือสอง
- ลูกค้าคือบุคคลทั่วไป ในเขตกรุงเทพและรอบๆเป็นส่วนมาก รองลงมาคือในเขตภาคกลางและตะวันออก
- รถยนต์มีทั้งส่วนบุคคลและเพื่อพาณิชย์ เช่นกระบะ รถตู้ รถบรรทุก
2) สินเชื่อแฟคเตอริ่ง 4%
- ลูกค้าคือผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มดีและมีความสามารถในการชำระ
- ลูกค้าอยู่ในอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมี บรรจุภัณฑ์
- มีทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ (ลูกค้าในที่นี้คือลูกหนี้ที่ซื้อมา) Export / Import
3) สินเชื่อลีซซิ่ง 3%
- สินเชื่อส่วนใหญ่คือเครื่องจักร
- ลูกค้าคือโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็กใน กทม. และรอบๆ เน้นเครื่องจักรที่มีอายุการใช้งานนานและไม่เปลี่ยนแปลงไว
- ลูกค้าอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ บริการ เป็นต้น
4) อื่นๆ 11%
- สินเชื่อส่วนบุคคล
- สินเชื่อทะเบียนรถยนต์
- สินเชื่อสำหรับผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ วงเงิน 300,000 ผ่อน 36 เดือน
- บริการโอน / จดทะเบียน ต่อภาษี รถยนต์
- บริการประกันภัย
Remark:
- แนวโน้มสินเชื่อเช่าซื้อเริ่มไม่โต น่าจะเพราะปัจจัยเรื่องของยอดรถยนต์ภายในประเทศลดลงต่อเนื่องทุกปี และยังไม่มีท่าที่กลับมาคึกคัก
- แนวโน้ม Factoring มีการเติบโตประมาณ 10%
- แนวโน้ม สินเชื่อลิซซิ่ง มีการเติบโตประมาณ 10%
- บริการอื่นๆไม่มีแนวโน้มเติบโต
- รายได้เข้ามาแน่นอนขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรฐกิจ และไม่ใช่เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ข้อที่ 2 บริษัทจะโตเพราะอะไร โตเท่าไหร่?
บริษัทมีแนวโน้มรายได้สินเชื่อเช่าซื้อซึ่งเป็นรายได้หลักชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตามปีหลังๆถึงแม้จะชะลอตัวตามสินเชื่อเช่าซื้อ แต่โดยเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังก็โตถึงปีละ 15% และกำไรสุทธิโตถึง 18%
แต่ถึงแม้สินเชื่อเช่าซื้อหลักจะชะลอตัว แต่บริษัทมีแนวโน้มของรายได้จากสินเชื่อแฟคตอริ่ง และลิซซิ่งมากขึ้น
หากการชะลอตัวของตลาดรถยนต์ภายในประเทศเริ่มดีขึ้นและกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งจะช่วยให้บริษัทกลับมาเติบโตได้มากขึ้น แต่หากรถยนต์ยังชะลอตัวต่อเนื่องก็จะโตได้ยากขึ้น อาจจะได้เพียง 5% ต่อปี
ข้อที่ 3 บริษัทมีโอกาสเติบโตเท่าไหร่ ยั่งยืนไปอีกนานเท่าไหร่?
- จากการที่บริษัทมีรายได้ย้อนหลังหลายปีเติบโตต่อเนื่องไม่ได้การันตีว่าจะโตต่อไป แต่ก็มีโอกาสที่ดีที่จะยังสามารถโตได้ต่อไป
- อุตสาหกรรมสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงินมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายอื่นมากมายทั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- ข้อมูลของบริษัทหาได้ยาก และยังไม่แน่ใจว่านโยบายของบริษัทต้องการเติบโตหรือเปล่า จึงมีความยากในการติดตามการเติบโต
- จากบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์รายหนึ่งกล่าวว่าดอกเบี้ยจ่ายที่อัตรา 4.5% จะหมดภายในปี 2559 ทำให้ปี 2560 สามารถกู้ก้อนใหม่และจะมีดอกเบี้ยจ่ายลดลงเหลือ 3.2%
- คาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทปี 2559 น่าจะโตขึ้นอยู่ที่ประมาณ 5-6%
ข้อที่ 4 ถ้าต้องห้ามขายเป็นเวลา 10 ปี จะยังซื้ออยู่หรือเปล่า?
ความมั่นใจในตัวบริษัทขึ้นอยู่กับผลประกอบการที่ผ่านมา และอุตสาหกรรมที่บริษัทอยู่
- จากข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่าบริษัทมี ROE ที่คงที่มาโดยตลอด ทำให้สามารถสรุปได้ว่าบริษัทสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ดี
- ในปี 2008 ที่มีวิกฤต บริษัทนั้นยังคงรักษา ROE ไว้ได้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
- Net margin ย้อนหลังสิบปีพบว่าบริษัทสามารถรักษาระดับกำไรไว้ได้ดีและดีขึ้นจนถึงปีปัจจุบัน ทำให้เชื่อได้ว่าบริษัทสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขัน และบริษัทสามารถรักษา spread ของดอกเบี้ย ทำให้เกิดกำไรได้ดีต่อเนื่อง
- อุตสาหกรรมสินเชื่อยังเป็นที่ต้องการของคน มีมานานเป็นร้อยเป็นพันปี และนับจากวันนี้ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ข้อที่ 5 หากไม่เป็นไปตามที่คาด โอกาสขาดทุนจากราคาปัจจุบันมีมากขนาดไหน?
การหาโอกาสขาดทุนจะต้องดูจากปัจจัยของราคาตลาดที่จะซื้อและโอกาสที่บริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามคาด
- จากราคาปัจจุบัน PE 11.69, PBV 1.87 เมื่อเทียบกับอดีตแล้วจะสูงกว่า แต่เมื่อดู ROE, NPM แล้วปีปัจจุบันสูงกว่า จึงสามารถยืนที่ PE, PBV ได้สูงกว่าในอดีต ราคาปัจจุบันจึงสมเหตุสมผลที่ PE, PBV จะสูงกว่าอดีต
- เมื่อดู DPS แล้วพบว่าบริษัทมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีตามกำไร ทำให้สามารถเชื่อได้ว่าปีต่อไปจะยังมีปันผล และ yield อยู่ที่ประมาณ 5.7% จากราคาปัจจุบัน เมื่อดูความเสี่ยงจากราคาปัจจุบันแล้วพบว่าน้อย เพราะยังมีปันผลที่สูงกว่าเฉลี่ยของตลาด
- โอกาสขาดทุนจากราคาผันผวนคาดว่าไม่เกิน 5% ในระยะสั้น หากบริษัทไม่มีแนวโน้มที่แย่ลง
- หากเกิดวิกฤตกับตลาดหุ้นอาจจะทำให้ราคาตกและอาจจะมากถึง 40–50% แต่หากบริษัทยังมีแนวโน้มในการเติบโตดี จะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อในต้นทุนต่ำ และมี yield ที่สูงขึ้น
สรุป
- บริษัทมีความน่าสนใจและมีความมั่นคงเมื่อเทียบกับผลงานในอดีตที่ผ่านมา
- อัตราเติบโตชะลอตัวแต่มีปัจจัยบวกที่เป็นตัวเร่งที่แน่นอนคือเงินกู้ที่จะหมดลง และก้อนใหม่ที่จะมีดอกเบี้ยจ่ายลดลง
- ต้องติดตามตลาดรถยนต์ภายในประเทศว่าจะมีแนวโน้มกลับมาหรือไม่ หากไม่กลับมาต้องติดตามว่ารายได้บริษัทจะสามารถโตได้หรือเปล่า เพราะอะไร
- สามารถจัดอยู่ในหุ้นประเภทแข็งแกร่ง คือเติบโตแต่ไม่โตเยอะเท่าหุ้นเติบโต และมีปันผลที่ดี แต่มีโอกาส Turn กลับมาเติบโตหากตลาดรถยนต์กลับมา
ที่มาบทความ : https://medium.com/investdiary