เป็นหนี้อย่างเป็นทางการแล้วจ้าาาาาาาาา

ขอต้อนรับเข้าสู่ Series “Get Debt Now” ของ Get Wealth Soon

เป็น Series ที่จะบอกเล่าประสบการณ์การเป็นหนี้ก้อนใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของเรา จากการซื้อคอนโดนั่นเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่

  • กำลังตัดสินใจอยากซื้อ
  • ลังเลว่าจะซื้อบ้าน หรือ คอนโดดี
  • ซื้อแล้วจะเจอค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
  • มีเรื่องอะไรที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ
  • ขั้นตอนยื่นกู้เป็นอย่างไร
  • ควรยื่นกู้กี่ธนาคาร
  • ต้องดาวน์ไหม ดาวน์กี่เปอร์เซ็นต์ดี
  • เลือกอัตราดอกเบี้ยแบบไหนดี

และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าใครกำลังอยากหาคำตอบจากคำถามเหล่านี้ Series นี้มีคำตอบหมดเลยค่ะ แต่ตอนแรกของ Series นี้ อยากจะมาแชร์ประสบการณ์การซื้อคอนโดท่ามกลาง COVID-19 แบบงงๆ ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ

ซื้อคอนโดแบบงงๆ

ตอนแรกมองหาแต่บ้าน ตั้งใจว่าจะซื้อในอีก 5 ปีข้างหน้า วันนั้นคงมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ทั้งครอบครัว 7 คนได้ แต่พอ Work From Home ทำให้ได้พูดคุยกับสมาชิกในบ้านตลอดเวลา เลยตัดสินใจไปดูบ้านด้วยกัน แต่ในช่วงนี้ที่แม้ราคาบ้านจะถูกแค่ไหน ยังไงก็มีแตะ 6-8 ล้านบาท++ ถึงจะเพียงพอสำหรับสมาชิก 7 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่จับต้องไม่ถึงจริงๆ ค่ะ แถมอยู่ไกลเมืองไปด้วย ต้องเดินทางด้วยรถส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีรถ และขับรถไม่เป็น ถ้าจะซื้อ ต้องให้คุณแม่มากู้ร่วมด้วย แถมคุณแม่ต้องช่วยผ่อนอีก ซึ่งเราไม่อยากให้คุณแม่ยังต้องมาเป็นหนี้ในวัย 55 ปี 

สรุปก็คือในตอนนี้เรายังไม่มีความพร้อมอะไรเลยสำหรับการซื้อบ้าน

แต่เราเองมีปัญหาเรื่องการนอนมาพักใหญ่ๆ เป็นคนหลับยาก และตื่นง่าย ถ้ามีเสียงรบกวนนิดนึง จะตื่นเลยทันที เคยลองใส่ที่อุดหู ใส่หูฟังฟังเสียงธรรมชาติ ลองหลายๆ อย่างมาแล้วเกือบ 1 ปี ยังไม่สามารถหลับสนิทได้ เลยเริ่มจากหาห้องเช่า

  • ไปดูอพาร์ทเมนท์ให้เช่า : ค่าเช่าถูก แต่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย
  • ไปดูห้องในเว็บไซต์เกี่ยวกับการจองที่พักแห่งหนึ่ง : ห้องแต่งสวย พักรายเดือนมีส่วนลด 50% แต่ลดแล้วก็ยังเกินงบไปนิดหน่อย
  • ไปดูคอนโดปล่อยเช่าใกล้ๆ บ้าน : เอาแบบถูกใจ เจอราคา 15,000-20,000 บาท++ (กุมขมับเลย)

เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า “หรือเราจะซื้อคอนโดไปเลยดีนะ??”

ก็เลยได้เริ่มไปดูคอนโดจริงๆ (ก่อนไปดูบ้านและคอนโด ดูคลิปรีวิวเยอะมาก ดูคลิปซ้ำ อ่านบทความซ้ำไปมา อย่างน้อย 3 รอบ เพื่อให้จำ Detail ได้)

หมายเหตุ : บ้านปัจจุบันและที่ทำงานใกล้กันมาก

  • ที่แรก : ทำเลใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน แต่ Layout ห้องกับส่วนกลาง ยังไม่ถูกใจ
  • ที่ที่สอง : ตระเวนโซนฝั่งธน ราคาโอเค เดินทางกลับบ้าน ไปทำงานสะดวก ห้องใหญ่ แต่ยังไม่ถูกใจส่วนกลางกับวัสดุ ต้องมีงบแต่งห้องอีกหลายแสน
  • ที่ที่สาม : เป็นคอนโดมือสองจากรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย ใกล้บ้านมากๆ ใกล้ที่ทำงานเหมือนกัน ราคาดีเลย ให้คะแนนเต็มกับราคา เงียบสงบตามที่อยากได้ แต่ความรู้สึกก็ยังไม่ใช่แฮะ พอเห็นเรานิ่งๆ รุ่นพี่เลยบอกว่า

“ถ้าทำ Checklist ออกมา มันจะไม่มีที่ไหนถูกใจหนู 100% แต่มันจะมีที่ที่หนูอยู่แล้วรู้สึกสบายใจที่สุด”

จากประโยคนี้เลยทำให้เริ่มหาคอนโดที่ออกแบบมาเพื่อ Lifestyle แบบเรา list ออกมาได้ 6 ข้อนี้

  1. ชอบห้องเพดานสูง >> อย่างน้อยๆ ขอ 2.7 เมตรขึ้นไป แต่ไม่ต้องถึงขั้นเป็นห้อง 2 ชั้นแบบ Loft ห้อง Duplex ที่สูง 4.5-5.5 เมตร เพราะอยู่คนเดียว เป็นห้อง 1 Bedroom เล็กๆ ก็พอ การที่เพดานสูงทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดแม้ห้องจะเล็ก (ซึ่งแลกมากับค่าผ้าม่านที่แพงขึ้นเหมือนกันนะ เพิ่งจ่ายค่ามัดจำไปเมื่อ 30 นาทีที่แล้ว)
  2. กีฬาชนิดเดียวที่ชอบคือว่ายน้ำ >> สระน้ำต้องยาวอย่างน้อย 25 เมตร (ถ้าสวยด้วยจะบวกคะแนนให้)
  3. ทำงานที่บ้านบ่อย >> Co-working space ต้องมีพื้นที่เพียงพอ มีหลายโซนให้นั่ง และปิดดึก (สายประหยัดค่าไฟ)
  4. ชอบกิจกรรม Adventure >> คอนโดหลายๆ ที่เริ่มมีที่ปีนผา มีสนามกีฬาให้เล่นหลากหลาย ยังไม่รู้ว่าจะได้เล่นบ่อยแค่ไหน แต่มีไว้ก่อนก็ดี
  5. ราคาต้องจับต้องได้ >> งบไม่เกิน 3 ล้านบาท บวกลบได้นิดหน่อย
  6. การเดินทางสะดวก >> ซื้อคอนโดทั้งที คงไม่อยากอยู่ห่างรถไฟฟ้ามาก ห่างในระดับไม่เกิน 200-300 เมตร กำลังดี เวลาฝนตก น้ำท่วม ยังเดินเข้าคอนโดได้สะดวก

แล้วเราเจอที่แบบนี้จริงๆ ดูรีวิวใน Youtube แล้วชอบมาก ก็พยายามยับยั้งใจตัวเอง

“ใจเย็นนนนนนนนน อย่าเพิ่งรีบเป็นหนี้เลยยยยยยย”

พอไปดูของจริง ก็คิดอยู่นานนะคะกว่าจะจอง ประมาณ3… 3อาทิตย์??? 3นาทีนี่แหละค่ะ!! ตอนจะกดโอนเงินค่าจองคือหน้าร้อน หัวตื้อ มือเย็นไปหมด

โครงการที่เราไปดู จะเก็บค่าจอง 5,000 บาท + ค่าทำสัญญา 30,000 บาท รวมเป็น 35,000 บาทครั้งเดียว เลยทำให้ค่อนข้างคิดหนักเพราะเราไม่เคยโอนเงินเยอะขนาดนี้มาก่อน

“เอาจริงแล้วใช่มั้ย นี่เรื่องใหญ่นะ คิดอีกนิดนึงก่อนมั้ย?”

โอเคๆ คิดอีกนิดก็ได้… อีกประมาณ 2 วินาที กดโอนเงินเลย (ฮา)

เราเลือกที่นี่เพราะจาก 6 ข้อด้านบน ติดแค่เรื่องเดียวคือเรื่องการเดินทาง ที่ตั้งคอนโดห่างจากบ้านและที่ทำงานไป 10 กว่ากิโลเมตร ส่วนรถไฟฟ้าห่างไปประมาณ 14 สถานี แต่สุดท้ายเราเลือกที่ความสบายใจมากกว่า ถ้าเราสบายใจที่จะอยู่ การนอนหลับของเราคงมีคุณภาพมากขึ้น ก็คุ้มค่าที่จะแลก

ซื้อตอนที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ไม่กลัวเหรอ?

เป็นคำถามจากผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ญาติพี่น้อง และผู้ใหญ่ในบริษัท แอบมีความรู้สึกหวั่นๆ อยู่ในใจนะ ว่าวันที่ต้องถูกลดเงินเดือน ถูกลดพนักงาน อาจมาถึงเราเมื่อไรก็ได้ แต่พอมองอีกมุม ตอนนี้ราคาลดมามากแล้ว อัตราดอกเบี้ยถูกลงเยอะมาก อัตราการผ่อนก็ไม่เกิน 40% ของรายได้ 

แต่เพื่อไม่ให้เราเป็นกังวลใจ และไม่ต้องรบกวนให้คุณพ่อคุณแม่มาช่วยผ่อนถ้าวันนั้นมาถึงเราจริงๆ เรามีเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินทั้งค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าผ่อนคอนโดล่วงหน้าไว้แล้ว วางแผนเรื่องประกันชีวิตและแผนเกษียณแล้ว

ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ บอกเพื่อนๆ ที่กำลังตัดสินใจอยากซื้อบ้านหรือคอนโดในช่วงนี้ว่า 

“ใช่ค่ะ ตอนนี้ราคาถูกจริง อัตราดอกเบี้ยถูกจริง ดังนั้นถ้าเราพร้อม ก็ลุยได้เลยค่ะ”

แต่สำหรับใครที่ยังไม่ได้วางแผนการเงินที่ชัดเจน รู้สึกไม่มั่นใจว่าจะผ่อนไหวมั้ย เราอยากให้ใช้เวลาตัดสินใจเพิ่มเติมนิดนึง ว่าในวันที่เราขาดรายได้ เราพร้อมจ่าหนี้ได้กี่เดือน จะต้องรบกวนคนที่บ้านให้มาช่วยจ่ายส่วนนี้มั้ย เพราะอสังหาริมทรัพย์เป็นหนี้ระยะยาว หากซื้อในวันที่พร้อม แม้ราคาจะสูงขึ้น แต่จะสบายใจมากกว่าอย่างแน่นอนค่ะ

ทั้งหมดทั้งมวลเลยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในบทความวันนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใน 27 วัน ทั้งการจอง การยื่นกู้ ผลการกู้อนุมัติ ตรวจห้อง 2 รอบ และในตอนนี้ได้รับกระเป๋าโอน คีย์การ์ดเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว

การเลือกซื้อคอนโดของเราดูจะงงๆ แต่ถ้าไม่อยากงงแบบเรา บทความถัดไปใน Series “Get Debt Now” จะมาแนะนำเรื่อง “ซื้อคอนโดทั้งที ต้องเลือกแบบไหน ให้เหมาะกับ Lifestlye เรา” กันค่ะ พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ