แรงบันดาลใจในการเขียนบทความนี้มาจาก พี่แบงค์ Co-founder ของ FINNOMENA หรือที่รู้จักกันในนาม Mr.Messenger นั่นเอง ขอเกริ่นก่อนสักนิด ว่าการทำงานที่ FINNOMENA เวลางาน เราทำงานอย่างจริงจัง เวลาเล่น เราก็เล่นอย่างจริงจังเหมือนกัน ช่วงแรก ๆ ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ยังอยู่ในช่วงปรับตัว เลยเกิดอาการที่เวลางานเบียดเวลาเล่น จนรู้สึกเครียด แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการงานได้
จนวันนึงเรามีโอกาสได้เล่า (บ่น) ให้พี่แบงค์ฟัง เลยได้รับประโยคตอบกลับมาว่า
“ใน 1 วันมี 24 ชั่วโมง ควรจะเป็น 8 8 8 คือ เวลาทำงาน 8 ชั่วโมง เวลานอน 8 ชั่วโมง และเวลาส่วนตัว ที่ใช้ในการเล่น รวมถึงการเดินทางอีก 8 ชั่วโมง ลองไปปรับดูนะ แล้วชีวิตจะมีความสุขขึ้น”
พอเราได้รู้ว่า เราไม่ต้องทำงานเกือบทั้ง 24 ชั่วโมงก็ได้ แค่จัดการ Work Life Balance ให้ดี และรับผิดชอบงานให้เสร็จทันเวลา
“นี่มันบริษัทในฝันของคนรุ่นใหม่ชัดๆ!”
แล้วนอกจากเรื่องนี้ยังมีเรื่องอะไรอีกบ้าง ที่เป็นหน้าตาบริษัทในคนรุ่นใหม่ วันนี้เรามาเล่าให้ฟังค่ะ
Work-life balance ต้องดี
ขอกลับมาพูดถึงเรื่องนี้แบบละเอียดมากขึ้น Work-life balance คือการมีชีวิตในทุก ๆ ด้านที่สมดุล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว สุขภาพ ความฝัน ความสัมพันธ์ ฯลฯ ซึ่งในความเป็นจริง เป็นเรื่องยากจะทำทุกอย่างให้ดีในทุกด้าน
16 ชั่วโมง ที่เป็นเวลานอนและเวลาส่วนตัว เป็นส่วนที่เราวางแผนจัดการเองได้ ดังนั้นจะดีจะแย่ขึ้นอยู่กับการจัดการของเรา ในวันที่ร่างกายล้ามากแล้ว แต่สมองยังไม่ยอมพักผ่อน การนอนในคืนนั้นจะไม่เต็มที่ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของการทำงานในวันถัดไปอย่างแน่นอน
ส่วนอีก 8 ชั่วโมงที่เป็นเวลาทำงาน เป็นส่วนที่ปรับเปลี่ยนยาก เพราะไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร เราก็ต้องใช้เวลานี้ในการทำงานอยู่ดี แต่ถ้าบริษัทมีข้อเสนอแบบนี้ให้ล่ะ
เวลาเข้างานยืดหยุ่น
ทำให้ไม่ต้องเร่งรีบไปทำงาน เพื่อให้เข้างานทันเวลาตอน 8.00 น. หรือ 8.30 น. และยังทำให้เราสามารถเลี่ยงเวลารถติด หรือเลี่ยงความหนาแน่นของคนบนรถไฟฟ้าในช่วงเช้าได้อีกด้วย
มีโซนผ่อนคลาย
ในบางวันเราอาจจะรู้สึกเหนื่อย เพลียจากการทำงานอย่างหนักมาเกือบทั้งวัน อยากพักผ่อนสมองบ้าง ก็สามารถไปงีบหลับที่เตียงได้ เพื่อให้ตื่นมาแล้วมีแรงทำงานต่อ หรือในช่วงพักกลางวัน รวมถึงหลังเลิกงาน มีโต๊ะพูล โต๊ะปิงปอง หรือบอร์ดเกม ให้เล่นได้ นอกจากจะได้ผ่อนคลายแล้ว ยังได้สานสัมพันธ์กับคนในบริษัทมากขึ้นอีกด้วย
มีนโยบาย Work from home
ในช่วงที่วิกฤต COVID-19 ระบาดอย่างหนัก ทำให้หลาย ๆ บริษัทมีนโยบาย Work from home ขึ้นมาเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ซึ่ง FINNOMENA เองก็มีประกาศให้พนักงาน Work from home ถึง 2 เดือนเต็ม ๆ ก่อนจะกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ ทำให้เราได้รู้ถึงข้อดีของการทำงานที่บ้าน คือช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงาน ทำให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น หลังจากหมดวิกฤต COVID-19 เรามองว่าหากบริษัทมีการสานต่อนโยบายนี้ คงถูกใจคนรุ่นใหม่ไม่ใช่น้อย
เรียกได้ว่า “เวลางาน เราจริงจัง เวลาเล่น เราก็จริงจังเช่นกัน” เป็นส่วนที่ช่วยลดความตึงเครียดของ 8 ชั่วโมงในเวลางานไปได้มากเลยทีเดียว แต่ข้อสำคัญก็คือตัวเราต้องรับผิดชอบงานอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน
รู้ Career Path ชัดเจน
Work-life balance เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนรุ่นใหม่ มีความสุข สนุกกับการทำงานในทุก ๆ วัน แต่นอกจากเรื่องงานในปัจจุบัน ต้องมองในเรื่องของอนาคตด้วย การที่เราได้รู้อย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันความสามารถเราอยู่ที่จุดนี้ แล้วในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เราจะเติบโตไปทางไหนได้บ้าง เพราะคนรุ่นใหม่มีความต้องการที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด
บริษัทที่มีนโยบายการนัดประชุม 1-on-1 กับหัวหน้าเป็นประจำ อาจจะเดือนละ 1 ครั้ง หรือเดือนเว้นเดือน จะทำให้เราโฟกัสทั้งงานปัจจุบันและทิศทางในอนาคตได้ดีขึ้น สิ่งสำคัญในการ 1-on-1 คือต้องคุยกันอย่างเปิดอก ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการ จุดไหนที่ยังเป็นปัญหา หัวหน้าเห็นเราไปอยู่ที่จุดไหนได้บ้าง แล้วจะทำอย่างไรเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น เมื่อถึงการประชุม 1-on-1 ครั้งถัดไป ก็มาทบทวนและอัปเดตสถานการณ์กันต่อว่าเรายังอยู่ในเส้นทางเดิม หรือมีจุดไหนที่อยากปรับเปลี่ยนหรือไม่ เพื่อให้ไม่หลงทาง
มีงบสำหรับ Self-Improvement
เมื่อรู้เส้นทางที่จะสามารถก้าวกระโดดในหน้าที่การงานได้ อาจพบว่ายังมีบางทักษะที่เรายังขาด หรือต้องการความรู้เพิ่มมากขึ้น หากบริษัทมีงบพัฒนาตัวเองให้พนักงานได้นำไปเสริมทักษะที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าอบรมสัมมนา การเข้า Workshop การเดินทางไปศึกษางานที่ต่างประเทศ ซื้อหนังสือพัฒนาตัวเอง ฯลฯ เป็นอีกเรื่องที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่อยากจะเรียนรู้หลาย ๆ สิ่งพร้อมกัน ทำให้พนักงานได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องใช้เงินส่วนตัว
ไม่มองข้ามความคิดเล็ก ๆ
การที่เด็กจะออกความคิดเห็น ที่แตกต่างจากความคิดของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยก่อน หรือสมัยนี้ ก็ดูไม่ใช่เรื่องดี เพราะผู้ใหญ่จะมองว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตาได้ แต่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องของการทำงาน คนรุ่นใหม่จะมีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูง อะไรที่ทำแล้วรู้สึกว่าติดปัญหา ก็อยากแก้ไขพัฒนาให้ดีขึ้น
การที่บริษัทมีมุมมองที่เป็นบวกต่อเรื่องนี้ เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เสนอความคิดของตัวเองได้ เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะเสียงเล็ก ๆ จากคนรุ่นใหม่ที่ประสบการณ์การทำงานยังไม่ได้มากนัก อาจสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้ และสิ่งนี้น่าจะทำให้พนักงานภูมิใจกับไอเดียของตัวเองไม่น้อยเลยทีเดียว
และจะดียิ่งขึ้นไปอีก หากคนในบริษัทสามารถแยกเรื่องงานและเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวออกจากกันได้ ในที่ประชุมอาจจะมีการโต้แย้งกันเมื่อมีความเห็นที่แตกต่าง แต่จะเป็นการดีหากออกจากที่ประชุมแล้ว ยังสามารถชวนกันไปทานข้าว ทานกาแฟได้ตามปกติ
นี่ก็เป็นหน้าตาบริษัทในฝันของคนรุ่นใหม่ ขอเดาว่าใครที่กำลังทำงานอยู่ในบริษัทแบบนี้ คุณจะต้องมีความสุขกับการทำงานมาก ๆ อย่างแน่นอน ส่วนใครที่กำลังตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนงาน ก็สามารถดู 4 ข้อนี้ประกอบการพิจารณาได้นะ แล้วพบกันใหม่ในโอกาสหน้าค่ะ
Get Wealth Soon
อ่านบทความอื่น ๆ จากคอลัมน์ Alpha Pro ได้ที่ https://finno.me/alphapro-adB
ที่มาบทความ: https://adaybulletin.com/know-alpha-pro-good-office-for-working/