สวัสดีครับ เป็นประจำทุกไตรมาสที่ผมจะไล่ดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยทุกบริษัท สิ่งที่เห็นในไตรมาสนี้ที่อยากจะเอามาเล่าสู่กันฟังคือเห็นได้ชัดว่ามีหุ้นบางกลุ่มที่ผลประกอบการเริ่มจะถดถอยลงอย่างชัดเจน จากกำไรมากมาเป็นกำไรน้อย จากกำไรน้อยพลิกเป็นขาดทุนเลยก็มี กลุ่มนั้นคือกลุ่มช่องทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์ครับ
แน่นอนในการลงทุนสาย Bottom Up ปกติเราเน้นที่จะหาบริษัทที่เป็น Mega Trend มีแนวโน้มเติบโตชัดเจน ยิ่งกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ การเติบโตของหุ้นก็มักจะตามขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น
บริษัทที่มีกำไรต่อหุ้น 1 บาท ถ้า P/E ที่ตลาดให้คือ 10 เท่า ราคาหุ้นเท่ากับ 1 x 10 = 10 บาท
เวลาผ่านไปถ้ากำไรโตเป็น 10 บาทสมมติว่า P/E เท่าเดิม ราคาหุ้นย่อมเท่ากับ 10 x 10 = 100 บาท
หลักการนั้นไม่ยาก แต่เวลาจะหาให้เจอจริง ๆ พูดเลยว่าใช้แรงในการเสาะหาเยอะมาก ๆ ที่สำคัญคือถ้าเราเจอช้ากว่าคนอื่น P/E ไม่รอเราอยู่ที่ 10 เท่าแน่นอน ลองดูสิครับบริษัทดี ๆ ที่มีแนวโน้มโตมาก ๆ วันนี้ P/E 40 – 50 เท่ามีอยู่หลายตัวเลยทีเดียว
แท้จริงแล้วการที่มีหุ้นเติบโตสูงในพอร์ตยังสำคัญไม่เท่าการระวังไม่ให้มี “หุ้นกำไรขาลง” ในพอร์ต เพราะแน่นอนถ้าดูจากตัวอย่างข้างต้น ถ้ากำไรของบริษัทไหลลง ราคาหุ้นในระยะยาวก็ย่อมดิ่งลงเหวแน่นอน เราจึงควรอย่างที่สุดในการตรวจตราพอร์ตของตัวเองให้แน่ใจว่าไม่มีหุ้นลักษณะดังกล่าวหลงเหลืออยู่ อย่าไปหลงรักหุ้น เพราะหุ้นไม่เคยหลงรักเรา และเมื่อกำไรของบริษัทหายไป ความวินาศย่อมมาเยือนพอร์ตเราอย่างแน่นอน !
รูปที่ 1 ผลการประมูลทีวีดิจิตอลเมื่อปลายปี 2013 | ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
ยังจำได้มัยครับเมื่อ 2 ปีกว่าที่แล้วเมื่อปลายปี 2013 วันที่กสทช. จัดประมูลดิจิตอล วันที่ทั้งคนเคยทำทีวี และคนไม่เคยทำทีวี แห่เข้าประมูลกันเหมือนเมื่อสมัยคนไทยเห่อจตุคามรามเทพ มูลค่าประมูลรวมดีดตัวไปสูงถึงกว่า 5 หมื่นล้านบาท !!! บางรายถึงขนาดเบิ้ลประมูลกัน 2 ช่อง และก็ภาคภูมิใจที่ได้มา เหลือบไปมองผลประกอบการในอดีตของผู้ประกอบการช่องทีวีอย่างช่อง 3,7,9 กำไรปีหนึ่งหลายพันล้าน เอาล่ะ งานนี้เค้กมันชิ้นใหญ่เหลือเกินขอแบ่งมาซักนิดแค่นี้อนาคตก็โชติช่วงชัชวาลแล้ว
รูปที่ 2 การผิดนัดชำระหนี้ค่าสัมปทานของช่องไทยทีวี และ Loca | ที่มี ASTV ผู้จัดการออนไลน์
ผ่านไปไม่ถึงสองปี เมื่อชีวิตจริงมันต่างกับที่ฝัน เม็ดเงินโฆษณาไม่ได้มาอย่างคาด ผู้ประกอบการดิจิตอลทีวีต้องแบกทั้งค่าผลิตรายการ และค่าสัมปทานกันนับพันล้านต่อราย จึงไม่แปลกที่จะมีผู้ประกอบการบางรายเลือกที่จะ “ตัดช่องน้อย” ไม่จ่ายค่าประมูล ดีกว่าจะฝืนทู่ซี้แบกกำไรต่อไป
รูปที่ 3 แนวโน้มผลประกอบการหุ้นกลุ่มช่องทีวี ร้านหนังสือ หนังสือพิมพ์ | ที่มา FINNOMENA, SET
เอาไปเลยครับชัด ๆ กำไรสุทธิย้อนหลัง 3 ปี รวมไปถึงกำไรสุทธิไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมาด้วย (ณ วันที่เขียนบทความยังประกาศไม่ครบ)
กลุ่มที่ 1 เจ้าภาพเดิม BEC MCOT
เริ่มที่ช่อง 3 หรือ BEC จากสมัยก่อนมี Digital TV (DTV) กำไรกว่า 5 พันล้าน เป็นหุ้นปันผลในใจมหาชนและนักลงทุนสถาบัน มาถึงปี 2015 กำไรลงต่ำกว่า 3 พันล้านไปแล้ว ก็แน่สิครับจำนวนคนดูทีวีเท่าเดิม แต่มีช่องเกิดขึ้นมากมาย จึงต้องถูกแย่งคนดูไปบ้าง
ต่อมาคือช่อง 9 MCOT ของเรา เรียกได้ว่ากลับสู่แดนสนธยาไปอีกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปี 2015 เหลือกำไรเพียง 58 ล้านจากที่เคยกำไรพันกว่าล้าน และล่าสุดไตรมาส 1/59 ขาดทุน 147 ล้านไปเป็นที่เรียบร้อยครับ
กลุ่มที่ 2 ผู้ท้าชิงอันดับต้น ๆ WORK RS
กลุ่มนี้เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ผมมองว่ายังมีอนาคต เพราะเป็นผู้ท้าชิง และสามารถยึดตำแหน่งอันดับ TOP5 มาได้อย่างค่อนข้างแข็งแรง จุดแข็งที่สำคัญของ WORK คือการเป็นผู้สร้าง Content ซึ่งในยุคนี้ต้องบอกเลยครับว่า Content is King ขณะที่ RS ผมชอบน้อยกว่า แต่ต้องยอมรับว่าเฮียฮ้อแกเป็นนักสู้จริง ๆ ล่าสุดแตกไลน์ไปลุยตลาดเครื่องสำอางไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กลุ่ม 3 ผู้ประกอบการอื่น ๆ GRAMMY MONO AMARIN NMG
กลุ่มนี้ผมมองว่าเหนื่อยมาก ไม่สามารถเพิ่มค่าโฆษณาได้ยังหวัง อีกทั้งยังต้องแบกต้นทุนค่า Content จำนวนมาก ล่าสุดเข้าสู่ RED ZONE ขาดทุนกันยกแผงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กลุ่ม 4 ร้านหนังสือและหนังสือพิมพ์ SE-ED MATI POST SMM SPORT
ผมจำได้ดีในวันที่ SE-ED เป็นหุ้นขวัญใจนักลงทุนอยู่พักใหญ่ ด้วยธีมการขยายตัวของสาขา ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของกำไร แต่วันนี้กำไรประกาศออกมาเป็นผลขาดทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยว่าคนอ่านหนังสือน้อยลง หันไป “อ่านมือถือ” กันมากขึ้น ยอดขายของร้านเดิมน้อยลง และผมเริ่มสังเกตเห็นบางสาขาปิดตัวไปบ้างแล้วเช่นกัน
กลุ่มหนังสือพิมพ์ก็เช่นกันอย่าง MATI POST SPORT ผลประกอบการรายไตรมาสล้วนแล้วแต่ออกมาเป็นขาดทุนทั้งสิ้น สังเกตมั้ยครับว่ายุคนี้สมัยนี้ แผงหนังสือข้างทางเริ่มจะปิดกิจการมากขึ้นเรื่อย ๆ ร้านนิตยสารที่อยู่ตามสถานีรถไฟฟ้า BTS ก็ไม่อยู่แล้ว หรือร้านแพร่พิทยา ร้านหนังสือดังที่ Central ลาดพร้าว ปัจจุบันหดเหลือเล็กนิดเดียว บางครั้งการลงทุนมันก็ไม่ได้ยากไปกว่าการสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว แล้วลองนำมันมาวิเคราะห์ดู เท่านั้นล่ะครับ
รูปที่ 4 กำไรต่อหุ้น VS ราคาหุ้น BEC | ที่มา Reuters Bisnews
รูปที่ 5 กำไรต่อหุ้น VS ราคาหุ้น SE-ED | ที่มา Reuters Bisnews
คำพูด Classic ที่ว่า “เจ้ามือที่แท้จริงของหุ้นคือผลประกอบการ” ลองดูรูปที่ 4 และ 5 ดูครับ ราคาหุ้น BEC ทิ้งดิ่งลงจากที่เคยพาไปดอยที่ 70 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 23.9 บาท เช่นเดียวกับราคาหุ้น SE-ED จากที่เคยสร้างดอยไว้ที่กว่า 11 บาทล่าสุดอยู่ที่ 4.26 บาท
หากถามผมว่าติดอยู่ควรทำอย่างไร คำตอบคือต้องวิเคราะห์ “กำไร” ให้แตกครับว่าจะกลับมาโตได้หรือไม่ อย่าเอาแต่คาดเดา “ราคา” เสียเวลาและไม่มีประโยชน์จริง ๆ ปิดเถอะครับจอกับ Streaming อย่าเอาแต่จ้องให้มากนัก แล้วหันไปหาความรู้เกี่ยวกับหุ้นที่เราถืออยู่ดีกว่า
บอกความเห็นผมก็ได้ ส่วนตัวผมยังไม่เห็นความหวังที่ทั้งสองบริษัทจะพลิกฟื้นผลกำไรให้กลับมาได้ดีเหมือนอย่างเดิม ชัดเจนนะครับ
รูปที่ 6 แนวโน้ม Market Share โฆษณาทั่วโลก | ที่มา Procurian
สาเหตุที่ผมมองว่าทั้งสื่อทีวี ร้านหนังสือ และสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ในแนวโน้มที่ไม่ดี ก็มาจาก Mega Trend เรื่อง Internet of Things นี่ล่ะครับ อ่าน เมื่อ 4G มาก็ถึงเวลาเมกะเทรนด์การลงทุน Internet of Things สื่อโฆษณาทางอินเตอร์เนทกำลังกินตลาดสื่อชนิดอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ยกตัวให้เห็นชัดขึ้นครับ ปัจจุบันอัตราค่าโฆษณาทีวีดิจิตอลช่องที่ไม่ใช่อันดับต้น ๆ หรือโฆษณาทีวีดาวเทียมนาทีนึงตกประมาณไม่เกิน 3 หมื่นบาท แต่ค่าเขียนบทความ Advertorial เพื่อแนะนำสินค้าต่าง ๆ ทางอินเตอร์เนท ตกบทความละเกือบ 1 แสนบาทไปแล้ว หรือการจ้าง FB Page ดัง ๆ ลงโฆษณาให้ซักโพสต์นึง ให้ดาราโฆษณาแฝงทาง IG ให้ ล้วนค่าใช้จ่ายเป็นแสนทั้งนั้น
ดูจากรูปที่ 6 ก็ชัดเจนครับ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารอยู่ในขาลงชัดเจน ทีวีออกแนวทรง ๆ ขณะที่โฆษณาทางอินเตอร์เนทเติบโตมาก ๆ
รูปที่ 7 แนวโน้มรายได้และกำไรของ Facebook | ที่มา Business Insider
รูปที่ 8 ราคาหุ้น Facebook | ที่มา Google Finance
ผมเคยดูสถิตการจ่ายเงินโฆษณาทางอินเตอร์เนทของไทยพบว่ามีเพียงไม่กี่ร้อยล้านบาทเท่านั้น ผมบอกเลยว่า “ไม่น่าจริง” ครับ เพราะเงินโฆษณาถูกจ่ายไปให้ผู้บริการต่างประเทศอย่าง Facebook & Google มหาศาลมาก รายได้ของ Facebook เติบโตนับสิบเท่าตัวในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา ล่าสุดปี 2015 สูงถึงเกือบ 1.8 หมื่นล้านเหรียญ หรือกว่า 6 แสนล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย มูลค่ากิจการของหุ้น FB ล่าสุดอยู่ที่ 12 ล้าน ๆ บาทหรือพอ ๆ กับหุ้นทุกตัวของตลาดไทยรวมกัน (SET Market Cap ล่าสุด ณ ตอนนี้ประมาณ 13 ล้าน ๆ บาท)
ผมกลับไปดูตัวเองง่าย ๆ ทุกวันนี้จ่ายค่า Facebook Ad เป็นอันดับต้น ๆ ของบิลบัตรเครดิตไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการ boost post ที่ต้องการเพิ่มจำนวนคนดู บริษัทต่าง ๆ ที่ติดต่ออยู่ก็เช่นกัน เรียกได้ว่าทุกบริษัทต่างใช้ Facebook Ad กันทั้งสิ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายที่คนไทยทั้งหมดจ่ายให้ Facebook เชื่อว่าไม่ได้นำไปรวมในตัวเลขที่ประกาศโฆษณาทางสื่อออนไลน์อย่างแน่นอน
รูปที่ 9 แนวโน้มรายได้และกำไรของ Google | ที่มา Statista
รูปที่ 10 ราคาหุ้น Google | ที่มา Google Finance
อีกบริษัทที่เติบโตขึ้นเป็นองค์การอันดับต้น ๆ ของโลกไปแล้วคือ Alphabet หรือ Google ที่ปัจจุบันมีรายได้สูงถึงราว 2.6 ล้านล้านบาทต่อปี และมีมูลค่ากิจการราว 17.2 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่า GDP ประเทศไทยเสียอีก
Google สำหรับผมเป็นองค์กรที่เยี่ยมยอด มีขนาดใหญ่ แต่มีวัฒนธรรมองค์กรแบบ Startup มีการขยายทั้งแนวกว้างแนวลึกอย่างไม่สิ้นสุด และผมเชื่อว่าวันหนึ่ง Google จะเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ส่วนคนไทย บริษัทไทย จ่ายเงินให้ Google ทางไหนบ้างนั้น มากเหลือเกิน ทั้ง Chrome Android AdWord AdSense Google Apps โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
ทั้งหมดก็เป็นบทความเรื่อง “ในวันที่หุ้นทีวีและสิ่งพิมพ์อย่าง BEC MCOT AMARIN SE-ED ได้รับผลกระทบอย่างหนัก” ที่นำมาให้อ่านกันสนุก ๆ ช่วงวันหยุดแบบนี้ สิ่งที่อยากจะเน้นย้ำสุดท้ายคือในระยะยาวนั้น
สิ่งที่สำคัญกว่า “กำไรเยอะ ๆ ในช่วงขาขึ้น” คือการ “ขาดทุนน้อย ๆ ในช่วงขาลง”
สิ่งที่สำคัญพอกับการ “หาสุดยอดหุ้นมาประดับพอร์ตเพิ่มเติม” คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่า “หุ้นดาวดับไม่มีอยู่ในพอร์ตของเรา”
ขอให้ท่านผู้อ่านศึกษา และวิเคราะห์การลงทุนอย่างหนัก ให้คู่ควรกับเงินเก็บออมเพื่อการลงทุนที่หามาอย่างยากลำบาก การลงทุนนั้นจะสำเร็จได้เราต้องรู้ให้ได้ด้วยตัวเอง เลือกให้ได้ด้วยตัวเอง และที่สำคัญคือต้องระมัดระวังตัวเองให้เป็นด้วย ก็ขอให้ทุกท่านที่มีความอุตสาหะได้ประสบความสำเร็จกับการลงทุนดังที่ใจหวังครับ
FundTalk รายงาน
ปล. หากคุณอดทนอ่านมามาได้ถึงตรงนี้ก็อยากจะของฝากงานสัมมนา FINNOMENA UNLOCK DAY ที่ทีมกูรู FINNOMENA ตั้งใจจริงให้งานนี้สามารถช่วยให้นักลงทุนเพิ่มขอบเขตความสามารถการลงทุนของแต่ละคน และมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีขึ้น โดยท่านผู้อ่านสามารถใช้ CODE FUNDTALK รับส่วนลดพิเศษถึง 38% เพื่อสมัครเข้าร่วมงานนี้ได้นะครับ โดยงานนี้เราจัดเต็มมีแถมเสื้อ อาหารกลางวัน อาหารว่าง และสิทธิ์ใช้งาน FINNOMENA NTER สำหรับทุกคนด้วย
ถ้าอยากช่วยสนับสนุน FINNOMENA เพียงไปร่วมงานนี้ก็ถือเป็นการช่วยให้กำลังใจทีมงานได้เยอะเลยครับ