ตลาดหุ้นทั่วไทยและเอเชียที่ปรับลงมาค่อนข้างมากในรอบนี้เกิดจากแรงขายอย่างตื่นตระหนกของนักลงทุนต่างชาติ บนความกังวลว่าธนาคารกลางอเมริกา และญี่ปุ่นจะชะลอการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เปรียบคล้ายกับนักกีฬาที่ติดสารกระตุ้น คือเม็ดเงินอัดฉีดจากอเมริกา แค่คิดว่าสารกระตุ้นจะหมด ตลาดก็ปรับลงแรง ตามมาด้วอาการ panic sell
ณ จุดนี้ผมมองว่าการปรับฐานเกิดขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว เมื่อประเมินสถานการณ์ดูพบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยภายนอกคือเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลออกแรงในระยะสั้น ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้นในบ้านเราเช่นในปี 2554 ที่ตลาดเคยกังวลเรื่องปัญหาของกรีซ หลังจากตลาดคลายกังวลดัชนีก็ปรับฟื้นตัว สิ่งสำคัญคือพื้นฐานของบ้านเราเองว่ายังดีอยู่หรือไม่ เมื่อมองดูการเติบโตเศรษฐกิจ และแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ ของไทยพบว่ายังมีการเติบโตที่ดี ดังนั้นวิกฤตเงินไหลออกระยะสั้นตอนนี้จึงเหมาะสำหรับการทยอยเข้าลงทุนในหุ้นไทย
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 ผมแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย, กองทุนอสังหาฯ และตราสารหนี้ระยะกลาง กำไรของบริษัทจดทะเบียนน่าจะทำจุดสูงสุดต่อเนื่องโดยเติบโตได้ 10 – 20% ใน 1 -2 ปีข้างหน้าส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะทำ new high ได้เช่นกัน
อเมริกาน่าจะยังคงมาตรการ QE ต่อเนื่องแม้อาจลดขนาดของเม็ดเงินกระตุ้นลงบ้าง ขณะที่ญี่ปุ่นก็น่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเช่นเดียวกันหลังจากที่เพิ่งทำมาได้เพียงประมาณครึ่งปีภายหลังนายชินโสะ อาเบะ รับตำแหน่งเมื่อปลายปี 2555 ที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนในหลักทรัพย์ที่ปันผลสูงอย่างกองทุนอสังหาฯ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานยังคงน่าสนใจ
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยโลกยังคงมีแนวโน้มทรงตัว ทั้งยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ยังไม่น่าจะปรับเพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางดูจะมีความน่าสนใจมากกว่าพวกกองทุน money market หรือกองทุนแบบ fix ผลตอบแทนอายุ 6 – 12 เดือน
ทั้งหมดเป็น 3 กลุ่มสินทรัพย์หลักที่น่าสนใจทยอยลงทุนในช่วงวันฟ้าหม่นอย่างตอนนี้ครับ
เจษฎา สุขทิศ, CFA