ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจหดตัวครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลกจาก COVID-19 เราได้พบกับอีกปรากฏการณ์หนึ่งคือการที่มูลค่ากิจการของบริษัทในดัชนีหุ้น NASDAQ ใหญ่กว่า MSCI All Country (ex USA) ไปแล้ว นั่นหมายความว่าเหล่าหุ้นเทคโนโลยีที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด NASDAQ ที่สหรัฐฯ มีมูลค่ากิจการมากกว่ามูลค่าของหุ้นทุกประเทศหลัก ๆ ทั่วโลกรวมกัน (ไม่รวมสหรัฐฯ) ไปแล้ว
ดัชนี MSCI All Country ex USA นั้นประกอบไปด้วยหุ้น 22 ประเทศของประเทศ Developed Market (ยกเว้นสหรัฐฯ ประเทศเดียว) และ 26 ประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งดัชนีนี้ประกอบไปด้วยหุ้นกว่า 2,400 บริษัท และครอบคลุมมากกว่า 85% ของตลาดหุ้นทั่วโลกไม่รวมสหรัฐฯ โดยดัชนีมีมูลค่ากิจการรวมกันกว่า 18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนเม.ย. 63)
เทคโนโลยีกลายเป็น New Normal เต็มตัว
ท่ามกลางช่วงเวลาที่โลกเข้าสู่การล็อคดาวน์ สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือการที่การบริโภคของผู้คนในโลกเข้าสู่การพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเต็มตัว ขณะที่ยอดขายของห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ตกต่ำอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ยอดการสั่งอาหารผ่าน Uber Eats, Grab Food กลับเพิ่มขึ้นอย่างถล่มทลาย เช่นเดียวกับยอดการสั่งสินค้าผ่าน e Commerce ของ Amazon
การประชุมผ่าน Zoom Conference และ Google Meet เกิดขึ้นทดแทนการประชุมกันแบบพบเจอตัว และดูเหมือนจะกลายเป็น New normal ไปแล้วเพราะตอนนี้คนทำงานแทบทุกวันถูกบังคับให้ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นโดยอัตโนมัติ
หลังจากการล็อคดาวน์ในครั้งนี้ เราจะได้เห็นบริษัทอีกจำนวนมากมายที่ย้ายระบบทั้งหมดขึ้นไปบนคลาวด์ เนื่องจากพิสูจน์แล้วว่าเป็นระบบที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุดสำหรับการทำงานทางไกล ซึ่งผู้ให้บริการ Cloud Computing 3 เจ้าหลักในโลกก็หนีไม่พ้น Amazon Microsoft และ Google
ตัวเลขผู้ใช้บริการ Facebook ในแต่ละเดือนในช่วงที่ผ่านมาพุ่งทะลุ 2 พันล้านคนหรือประมาณครึ่งโลก และจำนวนผู้ใช้บริการ Netflix แบบจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผู้คนออกไปไหนไม่ได้ (เช่นเดียวกับความนิยมในการกินซุปเต้าหู้อ่อนกิมจิจาก Itaewon Class)
การเกิดขึ้นของ COVID-19 กลายเป็นตัวเร่งให้ผู้คนทั่วโลกปรับตัวเข้าสู่การใช้เทคโนโลยีไปแล้ว และหลาย ๆ อย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คือแม้โควิตจะผ่านพ้นไป แต่การที่เราหลายคนได้ลองใช้ชีวิตในแบบใหม่ ๆ ในช่วงที่ผ่านมาจะนำไปสู่การวิวัฒนาการของพฤติกรรมบางอย่างที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
ใครคือผู้ชนะและผู้แพ้
ผู้ชนะในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งใหญ่ของชาวโลกครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าส่วนใหญ่คือบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนอยู่ใน NASDAQ ซึ่งจะไม่น่าแปลกใจเลยถ้าเราจะเห็นมูลค่ากิจการของ NASDAQ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้จากปัจจุบันที่คิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าหุ้นของ S&P 500 ไปแล้ว
ขณะที่ประเทศที่ขาดแคลนบริษัทเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จนั้นน่าจะเข้าสู่ช่วงทศวรรษที่ยากลำบาก (ในที่นี้หมายถึงทศวรรษที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2020 ขึ้นไป) หนึ่งในนั้นไม่ต้องไปไหนไกลกลับมาดูที่เมืองไทยบ้านเราครับ
ช่วง Work-from-home ปิดเมืองอยู่บ้านที่ผ่านมา ลองถามตัวเองดูครับว่าสั่งอาหารผ่าน Grab Get LINEMAN Food Panda กันไปกี่ครั้ง สั่งสินค้าผ่าน Lazada Shopee ไปกี่รายการ ดูซีรี่ส์ Netflix ไปกี่เรื่อง เล่น Facebook Youtube Tiktok กันไปมากแค่ไหน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ดูให้ดีว่ามีบริษัทไหนจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยบ้านเราบ้าง คำตอบคือไม่มีเลย
การที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนใน SET ถูกลดประมาณการอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้เป็นเพราะโควิดหรอกครับ แต่เป็นเพราะเรากำลังเสียความสามารถในการแข่งขันในยุค New Normal ที่เทคโนโลยีคือมหาอำนาจทางเศรษฐกิจตัวจริง ก็ขอเอาใจช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้ตระหนักรู้ และกลับมาแข่งขันได้ในยุคหลังโควิดนะครับ
FundTalk