เข้าสู่ไตรมาส 2 ของปีกระต่ายทองแล้วนะครับ ผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนแต่ละท่านเป็นอย่างไรกันบ้างครับ จากนี้ไปผมจะทยอยออกออกบทความ “ปรับกลยุทธ์การลงทุนกับ @FundTalk” อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการแสดงมุมมองต่อตลาดการลงทุนโดยรวม ทั้งหุ้น,กองทุน,พันธบัตร,น้ำมัน,ทองคำ,สินค้าเกษตร ฯลฯ โดยหวังว่าจะเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจการลงทุนสำหรับท่านผู้อ่านนะครับ ทั้งนี้ขอให้ทุกท่านเข้าใจว่ามุมมองทั้งหมดเป็นเพียงการคาดการณ์ของผู้เขียน มิได้เป็นตัวแทนถึงมุมมองของบริษัทที่ผู้เขียนทำงานอยู่แต่อย่างใด และผมขออนุญาตงดเว้นการแนะนำหุ้นเป็นรายตัว เนื่องจากอาจเป็น Conflict of Interest กับงานที่ทำอยู่ครับ
เมื่อต้นปีผมได้ ออกบทความจัดพอร์ตการลงทุนรับปีกระต่ายทอง ( อ่านได้ที่ http://fundmanagertalk.com/investment-talk-2011-investment-strategy/ ) ซึ่งผมได้ให้มุมมองเชิงบวกต่อราคาน้ำมัน ว่าปีนี้จะไปได้ดีกว่าทองคำ รวมถึงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยซึ่งมีเป้าหมายปลายปีอยู่ทีประมาณ 1100 – 1200 จุดครับ
ปีกระต่ายเราต้องนับว่าเหนื่อย ไม่เบาทีเดียวครับ ทั้งปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปของกลุ่มประเทศหมู (PIGS – Portugal, Ireland, Greece, Spain) โดยเฉพาะปัญหาของเมืองฝอยทองอย่างโปรตุเกสที่กำลังสุกงอมอย่างเต็มที่ รวมไปถึงวิกฤตด้านการเมืองในตะวันออกกลาง ที่ลามอย่างต่อเนื่องจากอียิปต์ ต่อไปที่ลิเบีย และเริ่มลุกลามไปต่อที่ซีเรีย, อิหร่าน, ซาอุฯ ทับซื้อนมาด้วยปัญหาภัยธรรมชาติอย่างเรื่องแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น และน้ำท่วมใหญ่ที่ภาคใต้ของเรา
อย่างไรก็ตามผม มองว่าตลาดได้รับรู้ปัญหาข้างต้นไปมากแล้วพอควร ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เริ่มชัดเจนขึ้นจากตัวเลขการจ้างงานที่ทยอยดีขึ้น ล่าสุดตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ได้ลดต่ำลงกว่า 9% แล้ว รวมถึงเศรษฐกิจของเมืองไทยบ้านเราเองที่ยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะการเติบโตจากภายในผ่านการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจากจุดนี้ผมจึงเริ่มมีมุมมองบวกในการที่จะ “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” ในสินทรัพย์เสี่ยงครับ
สำหรับ ราคาโภคภัณฑ์โดยเฉพาะน้ำมันที่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาประมาณ 15 – 20% แล้วในปีนี้ยังคงน่าสนใจอยู่แต่เหลือ upside น้อยลง ท่านที่ได้ลงทุนไว้ตั้งแต่ต้นปีน่าจะทำกำไรออกมาบางส่วน และแบ่งเงินไปลงทุนอย่างอื่นบ้าง ส่วนทองคำปีนี้ไม่น่าจะหวือหว่าเท่าไหร่นัก ไม่น่าจะลงแรง และไม่น่าจะขึ้นหวือหวา แต่เหมาะเก็บยาว ๆ หลาย ๆ ปี ซึ่งผมมองว่าเป็นขาขึ้นในเทรนด์ใหญ่
ได้เวลา ซักทีสำหรับตลาดหุ้นไทย หลังจากปรับฐานอยู่นานในไตรมาสแรก ผมมองว่าจะกลับสูภาวะขาขึ้น โดยมองอยู่ที่เป้าหมาเดิมประมาณ 1100 – 1200 จุดสำหรับปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่จะได้อานิสงส์จาก Loan Growth ที่ขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มที่ได้รับผลดีจากการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศอย่าง Commerce, Health Care อย่างไรก็ดีผมเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวของการบริโภคสินค้า IT ในภาพรวมทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบบ้างต่อกลุ่ม Electronics บ้านเรา
สำหรับ ตลาดหุ้นต่างประเทศ ผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงตลาดหุ้นยุโรป ที่ปัญหาวิกฤตหนี้ยังลุกลามอยู่ หลีกเลี่ยงตลาดญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องแผ่นดินไหว (แม้จะมีหลายค่ายมาเชียร์ให้เข้าญี่ปุ่นก็ตาม) ตลาดที่ผมชอบยังคงเป็นจีน,ฮ่องกง ที่ช่วงหลังมีปรับฐานลงมาจากการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว แต่ผมมองว่าพื้นฐานของประเทศยังคงเป็นเชิงบวกในระยะยาว จัวหวะที่ปรับลงมาน่าจะเป็นโอกาสเข้าซื้อที่ดี
สำหรับ เรื่องดอกเบี้ย ผมมองดอกเบี้ยนโยบายของแบงค์ชาติจะทยอยปรับขึ้นครั้งละสลึงสู่เป้าหมาย 3.25 – 3.50% ในปีนี้ และปรับขึ้นต่อสู่เป้าหมาย 4.00 – 4.50% ในปีหน้า ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกู้ แนะนำให้มองที่ตัวเลข 4 ขึ้นไป ส่วนการลงทุนในพันธบัตรช่วงนี้แนะนำให้อยู่ที่ตัวสั้น ๆ และรอโอกาสลงทุนเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับสูงขั้นไปกว่านี้
แม้ ผมจะมองโดยรวมจากจุดนี้เป็น “ขาขึ้น” สำหรับหุ้น, โภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าความเสี่ยงต่างๆ ในตลาด ณ ตรงนี้มีหลายเรื่องมากจริง ๆ และพร้อมที่จะปะทุได้เช่นกัน ดังนั้นผมคิดว่ากลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการ “กระจาย” การลงทุนไปในหลาย ๆ กลุ่มของสินทรัพย์เสียงที่กล่าวมาข้างต้นครับ เมื้อเกิดเหตุการณ์หนัก ๆ ขึ้นแต่ละครั้ง จะมีผลกระทบต่อบางกลุ่มอย่างมาก ดังนั้นกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลายอย่างมีหลักการน่าจะเป็น กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้ครับ