ครึ่งปีแรกของปี 2562 กำลังจะผ่านพ้นไปแล้วนะครับ โดยรวมแล้วนับเป็นครึ่งปีที่ดีของนักลงทุนได้เลย โดยทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ทองคำ และน้ำมัน ราคาปรับเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้า ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัญหาสงครามการค้าและสงครามด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ขณะที่เฟดเริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินโลกอีกครั้ง คำถามที่สำคัญก็คือตลาดหุ้นโลกจะยังคงภาวะขาขึ้นได้ต่อเนื่องต่อไปหรือไม่?
ตลาดหุ้นโลกจะยืนได้หรือไม่ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว
เมื่อเรามองย้อนไป 2 รอบวัฏจักรเศรษฐกิจที่ผ่านมาจะพบว่าในวิกฤตรอบปี 2000 และ 2018 เมื่ออัตราผลตอบแทน หรือ Yield 10 ปีของพันธบัตรสหรัฐฯ ไปแตะจุดสูงสุด และปรับตัวเข้าสู่ดอกเบี้ยขาลง จะมาพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจทีชะลอตัวและตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่การปรับฐานครั้งใหญ่
ในครึ่งปีแรกของปี 2562 เห็นได้ชัดว่า Yield ของพันธบัตรสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดของรอบนี้ไปแล้วและปรับตัวลดลงมาแล้วกว่า 1% แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือดัชนีหุ้น S&P500 รอบนี้ปรับฐานไปเพียงไตรมาสเดียว และกลับมาทำสถิติสูงสุดอีกครั้งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562
สภาพคล่อง VS ปัจจัยพื้นฐาน
ดัชนี ISM Manufacturing ของสหรัฐฯ ซึ่งผู้เขียนใช้เป็นตัวชี้วัดหลักในการดูปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเริ่มมีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ต้นปี และจากแนวโน้มดูมีโอกาสไม่น้อยที่จะปรับลดลงไปต่ำกว่า 50 อย่างที่เกิดใน จีน ยุโรป และญี่ปุ่น ถ้า ISM ของสหรัฐฯ ลงต่ำกว่า 50 ขณะที่ Yieldกลับสู่ขาลง ในอดีตที่ผ่านมาตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ตลาดหุ้นดูจะตอบสนองเชิงบวกต่อนโยบายการเงินเชิงรุก คือการหยุดทำ QT คือหยุดดูดสภาพคล่องออกจากระบบการเงิน และดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มกลับทิศ ซึ่งในหลายวัฏจักรเศรษฐกิจทีผ่านมา FED ไม่ได้มีเครื่องมีอตัวนี้มาก่อน และก็ต้องยอมรับว่าการฉีดสภาพคล่องผ่านการขยายงบดุลของ FED หรือที่เรียกว่า QE นี้เองที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีวัฏจักรขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดโดยปรับขึ้นมาแล้วต่อเนื่องถึงประมาณ 10 ปี
ความท้าทายในการลงทุนครึ่งปีหลังของปี 2562 นี้คือตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะมีการปรับฐานครั้งใหญ่หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามหาคำตอบกันต่อไป ผู้เขียนมองว่าจากข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ให้ทราบกันในวันนี้ ต้องนับว่ายังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ของตลาดทุนรออยู่ข้างหน้า และการกระจายการลงทุนไปในทองคำ กองทุนอสังหาฯ และตราสารหนี้ระยะยาว ยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรทำอย่างต่อเนื่อง
โดยในครึ่งปีแรกของปี 2562 ที่ผ่านมากองทุนอสังหาฯ บ้านเราให้ผลตอบแทนถึงประมาณ 15% ขณะที่ทองคำและตราสารหนี้โลกให้ผลตอบแทนประมาณ 5 – 7% ซึ่งถือว่าดีทีเดียวสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่หุ้น (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/alterfunds) ที่สำคัญกว่านั้นคือสินทรัพย์เหล่านี้โดยเฉพาะตราสารหนี้และทองคำมักจะทำผลตอบแทนได้ดีเมื่อตลาดหุ้นเข้าสู่ขาลงเต็มตัว ซึ่งจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับการลงทุนในช่วงปลายวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นที่เรากำลังเจออยู่ในเวลานี้ครับ
FundTalk รายงาน
ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/647568