เมื่อ 4G มา การเกิด Internet of Things ก็จะเร่งตัวเพราะเนทมันเร็วขึ้น ไม่ว่าจะช็อปปิ้ง เดินทาง อ่านหนังสือ วิถีชีวิตมันจะเปลี่ยนไปหมด และเร็วด้วย นี่คือ Mega Trend ที่ผมคิดว่าจะมาแรงที่สุดใน 1 – 10 ปีข้างหน้า มาลองศึกษากันดี ๆ ว่ามีบริษัทใดในบ้านเราน่าจะได้ประโยชน์บ้าง เพื่อจะได้ไม่พลาดโอกาสการลงทุนครั้งสำคัญรอบนี้ครับ
เวลาจะลงทุนแบบกลุ่มอุตสาหกรรม ณ วันนี้คนไทย ไม่ใช่สิ คนทั้งโลก ชอบกันมากที่สุดหนีไม่พ้นกลุ่มสุขภาพ หรือ Health Care ผมไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับการเติบโตของ Sector นี้นะครับ แต่ผมมองว่ามันเป็น Crowded Trade คือมีคนรับรู้ในเรื่องนี้เยอะแล้ว ทั้งนักลงทุนและกองทุนก็ Allocate เงินใส่กันไปเยอะแล้ว ราคาหุ้น Global Health Care หลายปีที่ผ่านมาขึ้นแรงกว่ากลุ่มอื่นมาก P/E อยู่ในกรอบบนคือเทรดแพงกว่าค่าเฉลี่ย ดังนั้นผมมองว่ากลุ่ม Global Healthcare เป็นของดีแต่แพงไปหน่อย ถือนาน ๆ ยังพอไหว จากกราฟลองดูสิครับหุ้นกลุ่ม Global Health Care เมื่อใช้ iShares S&P Global Healthcare เป็นตัวแทนปรับตัวขึ้นจากประมาณ 30$ ไปที่เกือบ 115$ ในปีนี้หรือเพิ่มขึ้นมาเกือบ 4 เท่าตัว ชนะการเติบโตของทุก sector ไปมาก
แล้วเทรนด์อะไรที่คิดว่าจะมาแรงงง??
พูดเลย…สำหรับบ้านเราผมว่า “IoT หรือ Internet of things” ยิ่งถ้ามี 4G ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องธุรกิจการสื่อสารไร้สาย แต่อีกไม่นานมันคือ “ทุกเรื่อง” ลองมองดูรอบตัวสิครับ ไม่ว่าจะขึ้น taxi (Grab Taxi, Uber) กินข้าว (Wongnai) ซื้อรถ (One2Car) ซื้อบ้าน (thinkofliving, homedd) อ่านหนังสือ (Ookbee) ฯลฯ อีกมากมาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เริ่มเติบโตแบบเร่งตัวนับแต่เริ่มมี 3G เท่านั้นเอง แต่พอมี 4G Speed มันยิ่งเร็วขึ้น คราวนี้ไม่ว่าจะดูหนังเป็นเรื่อง ๆ โหลดข้อมูลเยอะ จะ upload/download จากที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องอยู่ในที่มี Fixed Broadband แน่นอนว่าจะมีธุรกิจอีกมากตามมา และสิ่งเหล่านี้กำลังเปลี่ยนชีวิตของเราทุกคนในทุก ๆ ด้าน สำหรับท่านนักลงทุน ผมคิดว่าโอกาสการลงทุนครั้งนี้เราควรศึกษาให้ลึก ค้นหาการลงทุนที่ใช่่ ถ้าไม่อยาก “รู้งี้” ทีหลังครับ
Internet of Things หรือ IoT หมายถึงการที่อินเตอร์เนทมามีส่วนในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต การผลิต การบริการ ฯลฯ และทำให้สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเราสามารถผสมผสานแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบอินเตอร์เนทได้ และนำมาซึ่งประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ความพอใจของผู้ใช้ที่มากขึ้น โดยจากการศึกษาโดย CISCO คาดการณ์ว่าจะมีสิ่งของต่าง ๆ ราว 5 หมื่นล้านชิ้นที่เชื่อมต่อเข้ากับโลกของอินเตอร์เนทภายในปี 2020
จากการวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ในปี 2014อินเตอร์เนทแบบมีสาย (Fixed Internet) สร้างให้เกิดผู้ใช้ราวพันล้านคนผ่าน PC หรือคอมพิวเตอร์บ้าน ขณะที่ Smartphone ปัจจุบันมีผู้ใช้มากถึง 2 พันล้านคน และน่าจะเติบโตไปถึง 6 พันล้านคน เยอะพอสำหรับคำว่า Mega Trend มั้ยล่ะครับการเติบโตขนาดนี้ ! IoT จะเป็นมากกว่าเรื่อง Technology Sector แต่จะหมายถึงทุกอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างผู้ชนะในแต่ละอุตสาหกรรมสำหรับผู้ที่ปรับตัวได้เร็ว เช่นเดียวกับผู้แพ้ที่ไม่รู้จักปรับตัว
4G จะนำไปสู่ Mobile Broadband
3G นำประเทศไทยไปสู่ Mobile Internet คือการเล่นเนทด้วยอุปกรณ์พกพา ไม่ว่าจะเป็น Smartphone หรือ Tablet ยังจำยุค 2G กันได้มั้ยที่เราชอบบ่นกันว่า “เนทกาก” “EDGE ห่วย” พอแต่ละค่ายวางเครือข่าย 3G มากขึ้น เดี๋ยวนี้ไปไหนก็มี 3G ครอบคลุมเกือบทุกที่แล้ว แต่ในยุค 4G ความเร็วที่มากขึ้น และ Capacity ที่มากขึ้นจะนำเหล่ามวลมหาประชาชนชาวไทยไปสู่ยุค Mobile Broadband แปลง่าย ๆ ก็คือเหมือนมีเนทบ้านไปทุกที่ ไม่ว่าจะใส่ SIM 4G ลงใน Notebook, iPAD ฯลฯ ก็เล่นเนทได้เร็วเหมือนเนทบ้าน ทุกที่ ทุกเวลา ขณะที่ WiFi น่าจะเป็นเทคโนโลยีหลักของ Fixed Internet หรืออินเตอร์เนทบ้านน่าจะคงมีอยู่ต่อไปแต่อาจไม่เติบโตมากนักเพราะ Mobile Broadband เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
IoT ที่จะเกิดขึ้นในโลก และประเทศไทย
- อุปกรณ์สวมใส่ได้ เตรียมตัวจะได้เห็นได้เลยครับ เริ่มต้นจากอุปกรณ์ที่สวมใส่ได้ เช่นนาฬิกา แว้นตา หรือกระทั่งรองเท้าอัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อกันอินเตอร์เนทได้ เราจะได้เห็นนาฬิกา ที่เป็นเหมือนสมุดไดอารี่ แว่นตาที่ขาแว่นเป็นเหมือนหูฟัง รวมถึงสามารถถ่ายรูปได้ หรือรองเท้าที่วัดจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญได้
- รถอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย วิเคราะห์ปัญหาของระบบในรถ บอกทางได้ รวมถึงเป็นเหมือน Home entertainment เคลื่อนที่
- บ้านอัจฉริยะ ซึ่งมีทั้งระบบรักษาความปลอดภัยออนไลน์ ระบบควบคุมอุณหภูมิ ระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติ ระบบ Entertainment ฯลฯ
- เมืองอัจฉริยะ ที่ดวงไฟเปิดปิดอัตโนมัติ มีที่ชาร์จรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า มีระบบการจราจรอัจฉริยะเชื่อมต่อกับรถอัจฉริยะอีกทีหนึ่ง มีระบบน้ำอัจฉริยะที่คอยเตือนคุณภาพน้ำ ช่วยบริหารเรื่องน้ำท่วม มีตึกอัจฉริยะอยู่เต็มเมือง
ที่มา: http://www.ansys-blog.com/
แล้วจะหาบริษัทที่กระโดดขึ้นอยู่บนยอดคลื่่นเมกะเทรนด์ IoT ลูกนี้อย่างไร
ดูที่กลยุทธ์และทีมผู้บริหารเป็นหลัก ผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพครับ บริษัทที่เน้นการเติบโตของรายได้ โดยใช้ IoT เป็นตัวขับเคลื่อน หรือใช้ IoT เป้นตัวประสิทธิภาพลดต้นทุนการดำเนินงาน 2 อย่างนี้ล่ะครับที่ใช่ ! นอกนี้ยังรวมไปถึงบริษัทที่เกี่ยวสร้างโครงข่าย (Network) ที่เป็นเหมือนกับถนนที่ให้ข้อมูลวิ่งผ่าน
บริษัทที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน
แน่นอนว่าหนีไม่พ้นผู้ประกอบการค่ายมือถือซึ่งส่วนตัวในเชิงพื้นฐานผมชอบ INTUCH เป็นพิเศษจากการที่ได้ไปฟังวิสัยทัศน์ของ CEO (อ่าน INTUCH หุ้น Mega Trend ที่ P/E มีกลไกปรับลดลงอัตโนมัติ ) นอกจากนี้ยังมี JAS ที่เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริหาร Fixed Broadband ในบ้านเราซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้าประมาณ 2 ล้านคน และมีการเติบโตราวไตรมาสละหนึ่งแสนคน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่เป็นทั้ง Contractor หรือ Supplier ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับ Network อย่าง CSS IRCP AIT MFEC SAMTEL ฯลฯ ซึ่งผมจะทยอยทำการวิเคราะห์ไปเรื่อย ๆ ทีละบริษัท
หมายเหตุ บริษัทที่เอ่ยในบทความนี้ไม่ได้หมายความว่าเชียร์ซื้อนะครับ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์อุตสาหกรรม จะซื้อหุ้นทั้งทีแนว Bottom up ต้องดูทั้งพื้นฐาน Valuation Technical ฯลฯ ให้ครบถ้วน ที่สำคัญที่สุดคือตัดสินใจซื้อด้วยตัวคุณเอง การซื้อหุ้นโดยฟังคนอื่น เชื่อคนอื่น โอกาสสำเร็จไม่เยอะหรอกครับ เชื่อผมสิ
บริษัทที่เน้นการเติบโตของรายได้จาก IoT
แหมถ้าเป็นบริษัทนอกตลาดนี่ผมนึกได้หลายตัวเลย อย่าง Ookbee Grabtaxi Tarad Sanook Pantip One2Car แต่ถ้าโจทย์บอกว่าต้องอยู่ในตลาดด้วยแล้วผมยังนึกได้ไม่มาก เช่น COL (Central Online) ของคุณหมูนี่ก็ใช่ล่ะ ถึงแม้ว่าจะมี B2S กับ Office Mate ที่เป็นหน้าร้านด้วย แต่จิตวิญญาณของ CEO ท่านนี้จากที่ได้เคย Company Visit อยู่หลายครั้งผมมั่นใจว่าท่านมอง Online เป็นคำตอบสุดท้ายแน่นอน อย่างหุ้นกลุ่ม Commerce ที่เปิดหน้าร้านออนไลน์อย่าง BIGC Tesco นี่ผมยังไม่นับว่าเป็นหุ้น IoT เพราะว่ารายได้ส่วนใหญ่ยังขับเคลื่อนผ่าน offline อยู่ นอกจากนีี้ก็มีบริษัทในกลุ่ม Media อีกหลายตัวที่พอเข้าข่ายอย่าง MONO (ถ้าไม่นับรวม TV Digital ที่ไปประมูลมา) บริษัทแม่ลูกอย่าง FORTH และ FSMART ที่มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีออนไลน์ออกมาเรื่อย ๆ บริษัทอย่าง ILINK ที่ระยะหลังเริ่มมาเน้นธุรกิจ Data Center เป็นต้น
แล้วคุณล่ะครับคิดว่ามีบริษัทไหนเข้าข่ายบ้าง
อย่าอ่านอย่างเดียวนะครับ มีไอเดียบริษัทไหนเขียน comment เข้ามาเลย จะได้แลกเปลี่ยนกัน เป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียเพื่อไปศึกษาเชิงลึกกันต่อครับ