เราเสียเวลาให้ YouTube, Facebook, Netflix หรือ Twitter วันหนึ่งกี่ชั่วโมง? เราเสียเงินไปกับค่ารักษาพยาบาลให้กับทั้งตัวเราเองหรือคนที่เรารักปีนึงเท่าไร? แล้วเรากำลังกลัวไหมกับนวัตกรรมหุ่นยนต์ต่าง ๆ จะเข้ามาแย่งงานเรา?
จะดีกว่าไหมถ้าเราเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากเรื่องทั้งหมดเหล่านี้?
Tech Company ครองบัลลังก์บริษัทขนาดยักษ์ของโลก
รูปที่ 1 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกปี 2012 และปี 2017| ที่มา: insead.edu
ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเทคโนโลยีกำลังเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตเราอย่างต่อเนื่อง โดยเปลี่ยนการใช้ชีวิตรูปแบบเดิมของมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง จากการรอรับชมหนังโปรดทางโทรทัศน์แต่ปัจจุบันเราสามารถเลือกสิ่งที่สนใจดูผ่าน YouTube หรือ Netflix ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเมื่อเราอยากทราบวิธีการเดินทางไปยังร้านอาหารชื่อดังที่เมื่อก่อนต้องโทรสอบถามทางให้วุ่น แต่ปัจจุบัน Google Maps ผลิตภัณฑ์ของเครือ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) สามารถให้คำตอบและเลือกวิธีเดินทางที่เหมาะสมที่สุดได้ภายในไม่กี่วินาที ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายได้อย่างมหาศาล ซึ่งเชื่อได้ว่ารูปแบบการให้บริการเหล่านี้จะมีมากขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ
กระแสตื่นตัวการดูแลรักษาสุขภาพและนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทางการแพทย์
รูปที่ 2 ค่าใช้จ่ายสาธารณสุขประเทศขนาดใหญ่ทั่วโลก| ที่มา : wikipedia
ณ ปี 2556 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้คนทั่วโลกอยู่ที่ 10.5% ต่อ GDP แต่คาดการณ์กันว่าในปี 2583 หรืออีก 21 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ต่อ GDP โดยเครื่องมือที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรง รวมถึงอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยอย่างมาก เช่น Smart Watch ซึ่งคอยติดตามและบันทึกผลรูปแบบการใช้ชีวิตของเราเพื่อปรับให้เหมาะสมกับการมีสุขภาพที่ดี หรือหุ่นยนต์ผ่าตัดที่ช่วยลดความผิดพลาดของแพทย์ โดยจากผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ช่วยเหลือทั้งในแง่ของการเฝ้าระวังก่อนเจ็บป่วยและเราภาพของการรักษาพยาบาล
กลุ่มคน Millennials กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริโภคหลักของโลก
รูปที่ 3 จำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน Application ใน 60 วินาที| ที่มา: visualcapitalist.com
Millennials คือกลุ่มคนที่เกิดช่วงปี 1980-2000 ซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่า Echo Boomers เนื่องจากอัตราการเกิดที่สูงมากในช่วงปี 1980-1990 จากการคาดการณ์ว่านับจากปัจจุบันไปอีกประมาณ 6 ปี จำนวนคนของกลุ่ม Millennials จะคิดเป็นครึ่งหนึ่งของคนทั้งโลก และด้วยลักษณะนิสัยและสภาพสังคมในช่วงการใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้สามารถประเมินได้ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงมากในช่วงชีวิตวัยทำงาน เนื่องจากระบบโซเชียลมีเดียทำให้สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการต่างๆ ได้สะดวกขึ้น โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์หลักที่คนกลุ่มนี้ชอบใช้ก็คือการให้บริการต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตและสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยแบรนด์หลักได้แก่ Apple Spotify หรือรวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีที่ต่างค่อยแย่งเวลาหน้าจอผู้ใช้งานให้อยู่บน Platform ของตัวเอง เช่น Facebook หรือ YouTube
เราอยากแนะนำให้รู้จักกองทุนที่จะเติบโตไปกับ Megatrend ของโลก อย่าง CIMB-Principal Global Innovation Fund
รูปที่ 4 สัดส่วนของสินทรัพย์ที่ลงทุน| ที่มา: CIMB Principal Asset Management
iShares Digitalisation UCITS ETF เน้นการลงทุนในบริษัทที่มีรายได้จากการบริการของผ่านระบบ Digital เช่น E-Commerce
iShares Automation & Robotics UCITS ETF ลงทุนในบริษัทที่พัฒนาระบบหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ เช่น Artificial Intelligence, Manufacturing Robotics และ Wearable Technology
iShares Healthcare Innovation UCITS ETF ลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับนวัตกรรมด้านการรักษาพยาบาล
Principal Millennials Index ETF ลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายของคนยุค Millennials เช่น โซเชียลมีเดีย เครื่องแต่งกาย
Global X Millennials Thematic ETF เน้นลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ
เจาะลึก Top Holding ของทรัพย์สินกันสักนิด
รูปที่ 5 กองทุนรวมต่างประเทศที่คาดว่าจะไปลงทุน| ที่มา: CIMB Principal Asset Management
ตัวอย่างธุรกิจที่น่าสนใจซึ่งกองทุนจะเข้าไปลงทุน
B2W COMPANHIA DIGITAL
- บริษัท e-Commerce สัญชาติบราซิล ยักษ์ใหญ่ของลาตินอเมริกา
- ขยายการขายครอบคลุมทุกช่องทาง เช่น Internet, TV และ Catalog เพื่อดึงกลุ่มลูกค้ากลุ่มให้ครบทุกประเภท
- ทำธุรกิจแบบครบวงจรไล่ตั้งแต่ขายสินค้า ให้บริการระบบจ่ายเงิน และ Logistic
รูปที่ 6 ธุรกิจภายใต้การบริหารของ B2W COMPANHIA DIGITAL| ที่มา: hotsites.b2wdigital.com
Xilinx, Inc.
- ผู้ผลิต Semiconductor รายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยชิ้นส่วน Semiconductor เหล่านี้ถูกใช้ในเครื่องมืออิเลกทรอนิกส์และระบบปฏิบัติการต่างๆ ของบริษัทเทคโนโลยี
- XILINX กำลังร่วมพัฒนากับ Amazon เพื่อให้ระบบ Cloud ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น
- บริษัทมีฐานการผลิตครอบคลุมตลาดหลักทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ จีน และอินเดีย
รูปที่ 7 Semiconductor ผลิตภัณฑ์จาก XILINX | ที่มา: electronicdesign.com
Dexcom, Inc.
รูปที่ 8 จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง | ที่มา: cdc.gov/diabetes, Dexcom.com
- ผู้ผลิตเครื่องวัดระดับกลูโคสสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งในปี 2017 สร้างรายได้ถึง 718 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- เครื่องมือของบริษัทสามารถทำให้ผู้ป่วยวัดระดับกลูโคสและแชร์ข้อมูลให้แพทย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังอันตรายได้อย่างต่อเนื่อง
Wirecard AG
รูปที่ 9 รายได้และกำไรของ Wirecard AG เติบโตต่อเนื่อง| ที่มา: finance.yahoo.com, Wirecard AG
- ให้บริการด้านระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบของ Mobile Payment และบัตรจ่ายเงิน
- เป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของโลกในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน โดยในปี 2017 มียอดการใช้จ่ายผ่านการให้บริการของบริษัทมากกว่า 1แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- ปี 2014 บริษัทสร้างรายได้ 626 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ปี 2017 รายได้อยู่ที่ 1,535 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเติบโตที่ระดับประมาณ 35%/ปี
Netflix, Inc.
รูปที่ 10 การขยายตัวของ subscribers เวปไซต์ Netflix | ที่มา: statista.com
- ให้บริการฉายภาพยนตร์และสารคดียอดฮิตของวัยรุ่นไทยและหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมียอดผู้เสียเงินรับชมถึง 137 ล้านคน สร้างรายได้ให้บริษัทมากกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- บริษัทยังคงสามารถสร้างคอนเทนต์น่าสนใจได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงโมเดลธุรกิจใหม่ที่จะเข้าไปร่วมสร้างคอนเทนต์กับบริษัทในประเทศท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อเจาะฐานผู้รับชมในแต่ละประเทศให้ได้มากขึ้น
Square, Inc.
รูปที่ 11 แผนการบริษัท Square ในอนาคต | ที่มา: acquiringstrategies.com, Square, Inc.
- บริษัทด้านการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังขึ้นมามีบทบาทอย่างต่อเนื่องของระบบ Digital Payment และยังให้บริการบัตรเครดิต ซึ่งบริษัทคิดค่าบริการต่ำกว่าธนาคารทั่วไป ซึ่งสามารถตัดเงินจากบัตรผ่านแอปฯ บนสมาร์ตโฟนได้โดยตรง
- ปัจจุบัน Square ให้บริการในสหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร โดยยังมีเป้าหมายขยายบริการต่างๆ ให้ครอบคลุมระบบการเงินมากยิ่งขึ้น
- ผู้ก่อตั้งบริษัท Square เป็นคนเดียวกับผู้ก่อตั้งบริษัท Twitter ซึ่งก็คือนาย Jack Dorsey โดยแม้ Square จะมีอายุเพียง 8 ปีแต่เมื่อปี 2017 บริษัทสร้างรายได้มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Adidas AG
- ยักษ์ใหญ่ด้านแบรนด์สินค้า Sportwear ของโลก ซึ่งปรับตัวรับกลุ่มลูกค้ายุค Millennials โดยการเน้นออกแบบสินค้าให้สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยแม้บริษัทจะมีอายุเกือบ 70 ปีแล้วแต่อัตราการเติบโตของรายได้ระหว่างปี 2014-2017 ยังได้ถึง 13%/ปี
รูปที่ 12 ยอดขายรองเท้า Adidas ยังโตได้อย่างมั่นคงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง| ที่มา: seekingalpha.com
ขนาดที่ค่อนข้างใหญ่มากของบริษัทด้านเทคโนโลยีหลักของโลกจะยังเหลือพื้นที่ให้เติบโตในอนาคตได้หรือไม่?
เรามักจะได้ยินว่าบริษัทที่ใหญ่มากแล้วจะสร้างการเติบโตได้ยากขึ้นเนื่องจากไม่สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่ได้ แต่เมื่อพิจารณากับสถานการณ์ในปัจจุบันที่โลกเปรียบเสมือนดินแดนไร้พรมแดน ธุรกิจสามารถขยายไปยังต่างประเทศได้ง่ายขึ้นมากโดยอาศัยอินเตอร์เน็ต รวมถึงคนมีความเป็นพลเมืองโลกมากขึ้น นั่นคือเมื่อสถานที่หนึ่งบนโลกชอบใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งมาก ย่อมมีโอกาสสูงที่คนอีกซีกโลกก็ชอบสินค้าแนวนั้นเมื่อกัน ตัวอย่างเช่นสินค้าแบรนด์ Apple ที่ออกขายให้ผู้ใช้ทั่วโลกในรูปแบบสินค้าเดียวกัน โดยสรุปแล้วเราจึงเชื่อได้ว่าบริษัทด้านเทคโนโลยีหรือบริษัทที่ปรับตัวเข้ากับสังคมยุคใหม่ยังมีพื้นที่ให้สามารถรองรับการเติบโตได้อีกมาก รวมถึงสามารถที่จะเข้าไป Disrupt ธุรกิจรูปแบบเดิมเพื่อเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากขึ้นไปอีก
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/PRINCIPAL%20GINNO-A
หากสนใจลงทุนใน 2 กองทุนนี้ สามารถลงทุนผ่านพอร์ต DIY ของ FINNOMENA โดยคลิกที่ลิ้งก์ข้างล่างเลยครับ
https://www.finnomena.com/nter-space-create/
Jessada Sookdhis
Investment Analyst (IA)
ตรวจทานบทความ
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน