Executive Summary
- เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงต่อจากค่าเช่าบ้านและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มาตรการกีดกันผู้อพยพจะกระทบต่อเงินเฟ้อจำกัด แต่เงินเฟ้อยังมี upside risk จากกำแพงภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลงต่อในระดับที่น้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ทิศทาง Dollar จะอ่อนค่าซึ่งจะสอดคล้องกับยุค Trump 1.0 ที่ Dollar อ่อนค่าลงในช่วงปีแรก ในกรณีฐานของเราคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่สภาวะถดถอยและจะเติบโตระดับปกติ ตลาดหุ้นจะลดความกระจุกตัวลง แต่ Valuation ที่แพงจำเป็นต้อง Selective ในการลงทุน เราจึงแนะนำ Neutral สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในภาพรวมของดัชนี S&P500 แต่ยังคงแนะนำ Selective Buy หุ้นสหรัฐฯ ในกลยุทธ์อื่นๆ ที่มี Valuation ที่แพงน้อยกว่า เช่น US Small Caps, Value, หรือ Equal Weight เช่น กองทุน ASP-USSMALL-A, AFMOAT-HA และยังมีมุมมองมอง Positive ต่อ Global Bond (กองทุน UGIS-N) และ Asian Bond (K-APB-A(A)) ที่ได้ประโยชน์จาก Yield ระดับสูงและมีแนวโน้มปรับตัวลง รวมถึงมีมุมมอง Slightly Positive ต่อทองคำ ที่ยังมีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกต่อเนื่อง
- เศรษฐกิจยุโรปจะฟื้นตัวช้าและอาจได้รับผลกระทบจากนโยบาย Trump 2.0 เช่น กำแพงภาษี และสงคราม นอกจากนี้ ECB ยังเจอความท้าทายเรื่องการลดหรือคงดอกเบี้ย หลังคณะกรรมการนโยบายการเงินเริ่มมีจุดยืนที่แตกต่างกัน เราจึงแนะนำ Slightly Negative สำหรับตลาดหุ้นยุโรป
- เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตได้แต่เปราะบาง ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ BoJ ที่มีท่าทีดำเนินนโยบายการเงินสวนทาง Fed และทิศทาง Dollar ที่อ่อนค่า อาจทำให้เงินเยนกลับมาแข็งค่าและเป็นผลเสียต่อตลาดหุ้น เราจึงแนะนำ Slightly Negative ต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
- เรามีมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาด EM ในภาพรวม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างโดดเด่น และยังได้ประโยชน์จาก China+1 Strategy อย่างตลาดหุ้นอินเดีย (กองทุน B-BHARATA, TISCOINA-A) และตลาดหุ้นเวียดนาม (PRINCIPAL VNEQ-A) ขณะที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เรามีมุมมอง Neutral โดยยังต้องติดตามความคืบหน้าการส่งมอบ Chip HBM3E ให้แก่ Nvidia ของ Samsung ขณะที่โครงการ Value-up Program เพิ่งเริ่มต้นและต้องใช้เวลาให้บริษัทปรับตัวกว่าจะเริ่มเห็นผล
- เรามีมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นไทย จากภาครัฐที่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมาอย่างต่อเนื่อง การเบิกจ่ายงบภาครัฐบาลเริ่มฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จาก China+1 Strategy ขณะที่ประมาณกำไรของตลาดหุ้นไทยยังถูกปรับลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับหุ้นไทยเราเน้นว่าต้องลงทุนอย่าง Selective คือคัดเลือกหุ้นอย่างเข้มข้นไม่อ้างอิงกับตลาด แนะนำกลยุทธ์ Definit SET Select
- เรามีมุมมอง Slightly Negative ต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากมีความไม่แน่นอนด้านความสันพันธ์กับสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมยังไม่มากเพียงพอที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตได้ในระดับเช่นเดิม โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ และความมั่นใจของผู้บริโภค
- อุตสาหกรรม AI ยังเติบโตได้ต่อในระยะยาว แต่เราชื่นชอบหุ้นกลุ่ม AI Infrastructure หรือกลุ่มกลางน้ำ เนื่องจากยังมีแนวโน้มเติบโตจากการใช้งานด้าน AI ทั้งในแนวกว้างและแนวลึก รวมถึงบริษัทต่าง ๆ ยังมีการลงทุนสร้าง Infrastructure ใหม่ ถึงแม้ในระยะสั้นเม็ดเงินลงทุนอาจกระทบไปที่กำไรบ้าง แต่คาดว่าเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ขณะที่กลุ่มต้นน้ำอย่าง Semiconductor ยังเป็นกระดูกสันหลังให้กับโลกเทคโนโลยีและ AI แต่มีปัจจัยกดดันจากเรื่องการขึ้นภาษีของทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตชิปสูงขึ้น กลุ่มปลายน้ำอย่าง AI Application (บริษัททำแพลตฟอร์มให้แก่ลูกค้า) ซึ่งเป็นกลุ่มที่แข่งขันรุนแรง และบริษัทส่วนใหญ่ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนว่า AI Product สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างมีนัยยะ โดยเราแนะนำกองทุน TISCOAI ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะใช้ประโยชน์จาก AI & Big Data ได้เต็มที่ จากปัจจัยเรื่องสิทธิบัตร ที่ตีความได้ว่าบริษัทมีความตั้งใจจะพัฒนา AI จริง ๆ (และกองนี้ก็มีผลตอบแทนย้อนหลังที่ดี) และกองทุน B-INNOTECH ที่ยังคงใช้ Valuation Discipline เหมือนเดิม และเป็นกองที่ Ride the AI Wave แต่เน้นหุ้นที่มี Durable Earnings เป็นหลัก (เช่น TSMC) และยังคงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว
- หุ้นกลุ่ม Healthcare เรามีมุมมอง Neutral แม้อุปสงค์ยาลดความอ้วนยังเติบโตระยะยาว แต่บางนโยบายของทรัมป์อาจเป็นปัจจัยกดดัน เช่น การกำหนดเพดานราคายาเพิ่มเติม และผลักดันให้มีความโปร่งใสมากขึ้น แต่ตลาด Priced In ไปบางส่วนแล้ว
- เรามีมุมมอง Slightly Negative ต่อหุ้นกลุ่มการเงิน แม้ค่อนข้างได้ประโยชน์จากการลดภาษีและการ Deregulation แต่ Rate Cut Cycle จะกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธนาคาร นอกจากนี้ Valuation อยู่ในระดับที่แพงมาก
- เรามีมุมมอง Negative ต่อราคาน้ำมัน โดย OPEC มีอิทธิพลในการควบคุมราคาน้ำมันลดลงหลัง สหรัฐฯเริ่มกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ขณะที่ EIA คาด Supply เร่งตัวแรงกว่า Demand ในปี 2025 และคาดระยะยาวน้ำมันมีความต้องการน้อยลง
- Global REITs เรามีมุมมอง Neutral โดยแนวโน้มเงินปันผลเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะ REITs สหรัฐฯที่ฟื้นตัวโดดเด่น โดยอุตสาหกรรมกลุ่มที่ฟื้นตัวโดดเด่นได้แก่ Data center Industrails และ Residential แต่ Valuation ในแง่ PBV อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย ขณะที่ REITs ไทย เรามีมุมมอง Slightly Negative โดยกลุ่ม Retail แม้อุปสงค์ฟื้นตัวแต่อุปทานใหม่จากโครงการใหญ่จะกระทบต่อภาพรวมค่าเช่า ขณะที่กลุ่ม Industrial ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ แต่โดยภาพรวม REITs ไทย สภาพคล่องไม่สูงและส่วนใหญ่เป็น Leasehold
- เรามีมุมมอง Slightly Positive ต่อหุ้น Global Infrastructure ที่มีความ Defensive สูง ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง และการเติบโตของบางกลุ่ม เช่น Data Center และการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยแนะนำกองทุน KKP GINFRAEQ-H
เรามีมุมมอง Positive ต่อหุ้นกลุ่ม Blockchain จากตลาด Cryptocurrency ได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนของทรัมป์ รวมถึง Fund Flow ของ Bitcoin และ Ethereum Spot ETF เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปลายปี 2024 โดยเราแนะนำกองทุน ASP-DIGIBLOC และ KT-BLOCKCHAIN-A ที่เน้นลงทุนในหุ้น Blockchain และได้อานิสงส์จากตลาด Cryptocurrency
ดาวน์โหลดฟรี!
“สไลด์มุมมองการลงทุนประจำปี 2025”
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299