Highlight (คลิกหัวข้อที่สนใจได้เลย)
- โพยลับกองทุนภาษี Mr.Messenger The Trend Follower
- โพยลับกองทุนภาษี FundTalk The Contrarian
- โพยลับกองทุนภาษี MEVT The Long-Term Growth
ลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีระยะยาว อะไรคือปัจจัยสำคัญ ?
การลงทุนโดยทั่วไปแล้วมีหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทก็จะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนั้น ๆ แตกต่างกัน อย่างเช่น การลงทุนในตราสารหนี้ ก็จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในระยะยาว สินทรัพย์ที่มักให้ผลตอบแทนสูงที่สุดจากค่าสถิติย้อนหลังที่ผ่านมาก็มักจะเป็นการลงทุนใน “ตราสารทุน” หรือ “หุ้น” เปรียบเสมือนเป็นการลงทุนในบริษัทซึ่งเราเข้าไปมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ นั่นหมายความว่ายิ่งบริษัทมี “กำไร” (Earnings) ที่สามารถเติบโตขึ้นมาได้ในระยะยาวก็จะทำให้การลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนขึ้นมาได้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการลงทุน
ข้อมูลแสดงการเติบโตของดัชนีตลาดหุ้นต่าง ๆ ย้อนหลัง 10 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ส.ค. 2024)
ข้อมูลแสดงการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนีต่างๆย้อนหลัง 10 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 27 ส.ค. 2024)
จากกราฟข้างต้นจะเห็นว่ากลุ่มการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ รองลงมาเป็นอินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น ซึ่งสังเกตได้ว่าส่วนใหญ่การเติบโตของราคาหุ้นหรือมูลค่ากิจการที่เติบโตขึ้นมาได้ในระยะยาว ล้วนสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาด้วย
ดังนั้น กลุ่มกองทุนลดหย่อนภาษี (Tax Saving Fund) ที่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การลงทุนในระยะยาว Finnomena Funds จึงคัดสุดยอดกองทุนลดหย่อนภาษีที่แนะนำโดย Mr.Messenger The Trend Follower, FundTalk The Contarian และ MEVT The Long-Term Growth คัดสรรแบบ Exclusive เพื่อลงทุนลดหย่อนภาษีปี 2024 นี้ สำหรับเป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในสไตล์ที่แตกต่าง แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการบริหารภาษีและสร้างการเติบโตที่ดีได้ในระยะยาวไปพร้อม ๆ กัน
โพยลับกองทุนภาษี Mr.Messenger The Trend Follower
แนะนำกองทุน B-USALPHARMF และ B-USALPHASSF เติบโตทะลุเทรนด์หุ้นสหรัฐ
กองทุน B-USALPHARMF และ B-USALPHASSF เน้นลงทุนในกองทุนหลักอย่าง JPMorgan Funds – US Growth Fund ซึ่งมีปรัชญาการลงทุนโดยเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ และเน้นเอาชนะดัชนีชี้วัดหุ้นกลุ่ม Growth อย่างดัชนี Russell 1000 Growth ในระยะยาว
- กองทุนบริหารจัดการแบบ Active Management จัดตั้งครั้งแรกตั้งแต่ปี 2000 มีทีม Analyst ประสบการณ์สูงที่มีประสบการณ์เฉลี่ยในอุตสาหกรรมประมาณ 23 ปี
- คุณ Giri Devulapally ผู้จัดการกองทุนหลักมีความเชื่อว่าการสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดได้ในระยะยาว จะต้องมองหาหุ้น โดยพิจารณาความต่างระหว่างปัจจัยพื้นฐานและความคาดหวังของตลาด จึงเน้นไปที่การบริหารพอร์ตโดย “Maximize Outperformance ในช่วงที่ตลาดดี” และ “Minimizing Underperformance ในช่วงที่ตลาดผันผวน”
- กองทุนมีการพิจารณาบริษัทที่เข้าไปลงทุนผ่านการวิเคราะห์ในเรื่องของ Earning, Valuation และ Momentum ซึ่งถือเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้กองทุนมีผลการดำเนินงานโดดเด่นเหนือกว่าดัชนีชี้วัดและคู่แข่งได้
ข้อมูลแสดงผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี ของกองทุนหลัก JPM US Growth I (acc) – USD จาก Fund Fact Sheet (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 67) สะท้อนให้เห็นว่ากองทุนมีผลการดำเนินงานโดดเด่นเหนือ Benchmark
เทรนด์การเติบโตของกำไร สร้างโอกาสทำผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ในระยะยาว
จากแนวโน้มการเติบโตของกำไรในระยะยาวของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและคาดว่าจะยังคงเติบโตต่อไปได้จากหลาย ๆ ปัจจัย อาทิ การเติบโตของบริษัทเทคโนโลยี, เทรนด์ AI และ Semiconductor รวมถึงวัฏจักรของอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มขาลง จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนให้ยังคงเติบโตต่อไปได้
ข้อมูลเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกองทุน JPMorgan Funds – US Growth Fund เทียบกับดัชนี RUSSELL 1000 Growth และ S&P500 ย้อนหลัง 10 ปี จาก Bloomberg (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2024)
จากการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้การลงทุนหุ้นเติบโตสหรัฐฯ ที่มีอัตราการเติบโตสููงมีความน่าสนใจ กองทุนหลักของ B-USALPHARMF และ B-USALPHASSF สามารถทำผลการดำเนินงานได้โดดเด่นเหนือ Russell 1000 Growth ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้น Growth และเหนือกว่า S&P500 ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทขนาดใหญ่ จึงเป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างการเติบโตของพอร์ต Tax Saving Fund ตามมุมมองของ Mr.Messenger
โพยลับกองทุนภาษี FundTalk The Contrarian
แนะนำกองทุน B-INNOTECHRMF และ B-INNOTECHSSF หุ้นเทคโนโลยีสวนกระแส
กองทุน B-INNOTECHRMF และ B-INNOTECHSSF ลงทุนผ่านกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง แต่มีจุดเด่นในเรื่องของการคัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพและมีราคาเหมาะสม
- กองทุนบริหารแบบ Active Management จัดตั้งครั้งแรกตั้งแต่ปี 1999 โดยมีปรัชญาการบริหารโดยมุ่งเน้นในเรื่องของการเฟ้นหาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าและการพัฒนาเทคโนโลยี พร้อมเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปรับพอร์ตสม่ำเสมอ เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา
- ผู้จัดการกองทุนคือ คุณ Hyun Ho Sohn (ฮยอน โฮ ซน) บริหาร Strategy ของกองทุนมามากกว่า 10 ปี และเคยได้รับรางวัลผู้จัดการกองทุนรวมแห่งปีจาก Investment Executive จากการใช้กลยุทธ์การลงทุนสวนกระแส หรือ “Contrarian Style” ที่มองว่าการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดีไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง ทำให้พอร์ตการลงทุนแม้ว่าจะเป็นหุ้นเติบโต แต่มี Maximum Drawdown ที่ต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนอื่น ๆ ในอุตสาหกรรม
- เน้นคัดเลือกบริษัทที่มี “High Quality Growth” พิจารณาในเรื่องของ EPS Growth ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตของพอร์ต และ FCF Margin ที่สะท้องถึงความมั่นคงของกิจการ รวมถึงหาไอเดียการลงทุนในบริษัทใหม่ ๆ นอกกระแสตลาดและพิจารณาเข้าลงทุนในมูลค่าที่เหมาะสม
ข้อมูลแสดงผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี ของกองทุนหลัก Fidelity Funds – Global Technology Fund จาก Financial Times (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ต.ค. 2024) สะท้อนให้เห็นว่ากองทุนมีผลการดำเนินงานโดดเด่นเหนือ Peer Group
ธีมเทคโนโลยียังมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว แต่ต้องเน้นไปที่การเติบโตแบบมีกระแสเงินสดที่ดี (Quality Growth)
การลงทุนในกลุ่ม Technology ยังคงเป็น Theme หลักของโลกซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง อย่างไรก็ตาม การพิจารณาในเรื่องของการเน้นไปที่การเติบโตแบบมีกระแสเงินสดที่ดี (Quality Growth) มากกว่าการเติบโตแบบ Futuristic Growth เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการลงทุนในบริษัทที่มี High Quality Growth จะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าบริษัทที่เข้าไปลงทุนเป็นบริษัทที่ยังคงมีพื้นฐานดี สามารถไปต่อได้ เนื่องจากไม่ใช่ทุกบริษัทจะมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะสามารถเป็นผู้ชนะในตลาด
ข้อมูลแสดงการเปรียบเทียบ FCF Margin ของกองทุนหลัก B-INNOTECH เทียบกับกองทุนหุ้นเติบโตอื่น ๆ และข้อมูล 1-Yr EPS Growth และ Forward P/E ที่สะท้อนว่ากองทุน B-INNOTECH เน้น High Quality Growth
ข้อมูลผลการดำเนินงานย้อนหลังของ Fidelity Funds – Global Technology Fund (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2024) ซึ่งเน้นสไตล์ Contrarian มีผลการดำเนินงานเหนือ Peer Group ได้ในระยะยาว
จากสไตล์การลงทุนที่เน้นไปทาง Contrarian และลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่มีโอกาสเติบโตสูง กองทุน B-INNOTECHRMF และ B-INNOTECHSSF จึงเหมาะกับนักลงทุนที่อยากสร้างการเติบโต แต่ให้ความสำคัญในเรื่องความผันผวนที่ต่ำกว่ากองทุนหุ้นเติบโตอื่น ๆ และมูลค่าที่เหมาะสมของการลงทุน จึงเป็นทางเลือกในกองทุน Tax Saving Fund ที่ FundTalk The Contrarian แนะนำ
แนะนำกองทุน B-INDIAMRMF และ KKP INDIA-UH-SSF คว้าโอกาสกับเศรษฐกิจอินเดียโตแรง
กองทุน B-INDIAMRMF ลงทุนในกองทุนหลัก Kotak Funds – India Midcap Fund ซึ่งจะลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดีย แต่เน้นไปที่บริษัทนาดกลางเป็นส่วนใหญ่ เพื่อรับอานิสงค์กลุ่ม Middle-Class ที่กำลังเติบโตในประเทศ
Kotak เป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในประเทศอินเดีย ซึ่งมีทีมบริหารที่มีประสบการณ์ยาวนานและมีความเชี่ยวชาญในตลาด ทั้งนี้ กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นมากว่า 10 ปี และกองทุน B-INDIARMF มีนโยบายการบริหาร FX Hedging Policy อย่าง Active ทำให้ผลการดำเนินงานส่งต่อมาได้อย่างเต็มที่ในระยะยาว
กองทุน KKP INDIA-UH-SSF เน้นลงทุนไปในกองทุน Robeco Indian Equities ซึ่งมีปรัชญาการลงทุนที่เรียกว่า Flexi-Cap เน้นสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าดัชนีชี้วัดอย่างดัชนี MSCI India Total Net Return ได้ในระยะยาวจากการกระจายลงทุนไปยังหุ้นอินเดียที่มี Market Cap แตกต่างกัน
โดยกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้เฉลี่ยประมาณ 3% ต่อปีเมื่อเทียบกับ Benchmark นับตั้งแต่เริ่ม Strategy และมีทีมนักวิเคราะห์เป็นชาวอินเดียที่ On-site อยู่ Mumbai รวมถึงผู้จัดการกองทุนคุณ Abhay Laijawala บริหาร Strategy ของกองทุนตั้งแต่ที่มีการจัดตั้งกอง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเชี่ยวชาญและความต่อเนื่องในการบริหารจัดการกองทุนในช่วงที่ผ่านมา
ข้อมูลเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน Kotak Funds – India Midcap Fund เทียบกับดัชนี MSCI India Mid Cap ย้อนหลัง 10 ปี จาก Bloomberg (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2024)
ข้อมูลเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน Robeco Indian Equities เทียบกับดัชนี MSCI India ย้อนหลัง 10 ปี จาก Bloomberg (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2024)
การเติบโตของอินเดียมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่แข็งแกร่ง
การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.ปัจจัยเรื่องโครงสร้างประชากร ซึ่งยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นและส่วนใหญ่ยังคงเป็นวัยทำงานซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
2.การเข้าสู่ Digitalization ช่วยเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
3.การเติบโตของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การก่อสร้างถนนและทางรถไฟ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถและสร้างฐานที่มันคงให้กับเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว
จากประเด็นดังกล่าวข้างต้นเป็นปัจจัยหนุนสำคัญทั้งในด้านการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาวต่อจากนี้ กองทุน B-INDIAMRMF และ KKP INDIA-UH-SSF จึงเป็นหนึ่งในกองทุนที่ FundTalk The Contrarian แนะนำจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียที่มาจากพื้นฐานอันแข็งแกร่ง จึงมีความน่าสนใจสำหรับลงทุนระยะยาว
โพยลับกองทุนภาษี MEVT The Long-Term Growth
แนะนำกองทุน PRINCIPAL VNEQRMF และ K-VIETNAM-SSF เวียดนาม The Hidden Gem แห่งเอเชีย
กองทุน PRINCIPAL VNEQ เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเวียดนามกองแรกของประเทศไทย จัดตั้งมาตั้งแต่ปี 2016 และในปี 2018 กองทุน K-VIETNAM ก็เป็นหนึ่งในกองทุนที่มีการจัดตั้งตามขึ้นมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน และจากผลการดำเนินงานย้อนหลังสะท้อนให้เห็นว่าผู้จัดการกองทุนมีความสามารถในการบริหารจัดการกองทุนได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับกองทุนอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมในระยะยาว
กองทุน PRINCIPAL VNEQRMF มีการจัดการและวิเคราะห์โดยผู้จัดการกองทุนไทยร่วมกับผู้จัดการกองทุนเวียดนามที่มีความเชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น และ Sector ที่มีโอกาสการเติบโตระยะยาว มีมูลค่าเหมาะสม รวมถึงใช้กลยุทธ์ Core-Satellite Port เน้นผลตอบแทนระยะยาว และสับเปลี่ยนหุ้นบางส่วนตามสภาวะตลาดเพื่อเพิ่มผลตอบแทนระยะสั้น
กองทุน K-VIETNAM-SSF เน้นลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจหรือได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือมีทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม บริหารกองทุนโดยทีมผู้จัดการกองทุนชาวไทยที่มีประสบการณ์ ลดการเสียค่าธรรมเนียมหลายต่อจากการลงทุนผ่าน Feeder Fund ทั้งนี้ ช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองทุนนี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นลำดับต้น ๆ ของกองทุนเวียดนามในไทย และมีค่าธรรมเนียมต่ำ
ข้อมูลแสดงผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี ของกองทุน PRINCIPAL VNEQ และ K-VIETNAM เทียบดัชนี VN Index และ MSCI Vietnam (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2024)
เมื่อนำกองทุน PRINCIPAL VNEQ และ K-VIETNAM เทียบกับดัชนีชี้วัดอย่าง VN Index ซึ่งเป็นดัชนีที่เป็น Local Index จะเห็นได้ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่าน กองทุนมีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างผสมผสาน โดยในบางช่วงเวลา กองทุนก็สามารถที่จะเอาชนะดัชนีชี้วัดได้ แต่บางช่วงก็ถือว่า Underperform ซึ่งสาเหตุดังกล่าว เกิดจากข้อจำกัดในเรื่องของการลงทุนแบบ Foreign Investment ซึ่งติดข้อจำกัดในเรื่องของ Foreign Limit ทำให้ผู้จัดการกองทุนไม่สามารถที่จะลงทุนได้ตามสัดส่วนที่ต้องการได้ 100% ในบางบริษัท
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัดอย่าง MSCI Vietnam ก็จะเห็นได้ว่ากองทุนมีผลการดำเนินที่สามารถเอาชนะดัชนีชี้วัดได้อย่างต่อเนื่อง เพราะ MSCI Vietnam เป็นพอร์ตที่มองในมิติของ Foreign Investment ซึ่ืงจะเป็นพอร์ตที่พิจารณาในเรื่องของข้อจำกัดเรื่อง Foreign Limit ทำให้ผลการดำเนินงานในเชิงเปรียบเทียบจะสะท้อนออกมาได้ดีกว่า
เวียดนามระยะยาวปัจจัยหนุนรอบด้าน The Hidden Gem of ASEAN
ด้วยขนาดและลักษณะของตลาดที่ยังคงเป็น “ตลาดชายขอบ (Frontier Market)” ทำให้นักลงทุนต่างประเทศส่วนใหญ่อาจจะมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการลงทุนในเวียดนาม อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่ของการเติบโตและปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “Hidden Gem” ที่อาจจะสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างคาดไม่ถึงสำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยความน่าสนใจของการลงทุนในเวียดนามมีอยู่หลากหลายมิติ อาทิ
- การขยายตัวทางเศรษฐกิจและโครงสร้างที่น่าสนใจต่อการลงทุน เวียดนามถูกคาดการณ์ว่าการขยายตัวของ GDP ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตอยู่ที่ระดับประมาณ 7% ต่อปี ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก ซึ่งมีปัจจัยสนับลสนุนมาจากตัวเลขการลงทุนตรงจากต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง (FDI), โครงสร้างประชากรส่วนใหญ่ที่คนส่วนใหญ่ยังคงเป็นวัยทำงาน และโครงสร้างภาษีนิติบุคคลที่น่าดึงดุดต่อการลงทุน
- การเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทที่สูง ซึ่งไม่สอดคล้องกับ Valuation ของตลาดหุ้นเวียดนามที่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่เวียดนามยังคงเป็นตลาด Frontier Market ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศยังคงมีข้อจำกัด
- แนวโน้มจากกระแสเงินลงทุนไหลเข้าจากการ Upgrade ตลาด เวียดนามมีแผนที่จะอัพเกรดตัวเองเป็นตลาด Emerging Market ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่าน่าจะมีความเป็นไปได้อย่างเร็วที่สุดในช่วงปลายปี 2025 ซึ่งจะสนับสนุนทำให้กระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันต่างประเทศทั้งกองทุนประเภท Active และ Passive พิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัทเวียดนามมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อราคาหุ้นของเวียดนามในระยะต่อไป
ข้อมูลแสดงความเคลื่อนไหวดัชนี VN Index, Earning Momentum และ Bloomberg Estimate P/E Ratio ย้อนหลัง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค. 2024) สะท้อนว่า Earning Momentum ในช่วงที่ผ่านมายังคงเติบโต แต่ดัชนีเวียดนามยังอยู่ในระดับที่ถูก
จากโอกาสการเติบโตระยะยาวทั้งในแง่ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจและบริษัท รวมถึง Valuation ที่อยู่ในระดับน่าสนใจ กองทุน PRINCIPAL VNEQRMF และ K-VIETNAM-SSF จึงเป็นกองทุนที่แนะนำเมื่อพิจารณาในมิติ Macroeconomic, Earning และ Valuation สอดคล้องกับกรอบการวิเคราะห์ MEVT ที่ทาง Finnomena ใช้สำหรับการวิเคราะห์การลงทุนในระยะยาว จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนในกองทุน Tax Saving Fund
แนะนำกองทุน KKP GB THAIESG ลดหย่อนเต็มที่ แบบเสี่ยงต่ำสบายใจ ไม่ง้อหุ้นไทย
กองทุน KKP GB ThaiESG เป็นกองทุนตราสารหนี้ จากผู้จัดการกองทุนมากรางวัล เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน (ESG) เพื่อสอดคล้องกับระยะเวลาในการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี (ระยะเวลาการลงทุน Thai ESG ต้องถือลงทุนเป็นเวลา 5 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ)
คาดการณ์อายุตราสารหนี้เฉลี่ยในพอร์ต 9 ปี บริหารโดยผู้จัดการกองทุนของ บลจ. เกียรตินาคินภัทรมากประสบการณ์ที่เคยได้รับรางวัล Morningstar Awards ถึง 2 ปีซ้อน สร้างผลการดำเนินงานกองตราสารหนี้อื่น ๆ โดดเด่น และคว้ารางวัลการบริหารกองทุนตราสารหนี้มาอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการลงทุนในตราสารหนี้ในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ได้แก่ หมวดหมู่การดูแลสุขภาพ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Good Health and Well-being) หมวดหมู่การสร้างงาน เพื่อให้สอดคล้องกับการสนับสนุนงานที่ดีและเศรษฐกิจที่เติบโต (Decent Work and Economic Growth) หมวดหมู่คมนาคมและการขนส่งที่สะอาด เพื่อเกิดเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (Sustainable Cities and Communities) และลดภาวะโลกร้อน (Climate Action)
ข้อมูลแสดงผลการดำเนินงานย้อนหลังกองทุน KKP GB ThaiESG นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนวันที่ 15 ธ.ค. 2023 จนถึงวันที่ 1 พ.ย. 2024
ข้อมูลแสดงนโยบายการลงทุน กลยุทธ์การลงทุน และตัวอย่างการลงทุนของกองทุน KKP GB ThaiESG
เปิดโอกาสล็อก Yield ตราสารหนี้ ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยไทยที่สูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี
ปลายปี 2022 จนถึงปลายปี 2023 ที่ผ่านมาธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (BOT) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอย่างต่อเนื่อง จากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของหลาย ๆ ประเทศในช่วงที่ผ่านมาก็สร้างแรงกดดันในเรื่องของเสถียรภาพของค่าเงิน จึงมีความจำเป็นที่แบงก์ชาติต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อรักษาระดับของเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนและควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรและการลงทุนในตราสารหนี้ในตลาดมีความน่าสนใจมากขึ้นโดยภาพรวม
ข้อมูลแสดงความเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยย้อนหลัง 10 ปี จาก Trading Economics (ข้อมูล ณ วันที่ 1 พ.ย. 2024) ชี้ให้เห็นว่าระดับของอัตราดอกเบี้ยไทยในปัจจุบันอยู่สูงกว่าในอดีต
จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มปรับลดลงตามเงินเฟ้อที่ชะลอตัว กองทุน KKP GB THAIESG จึงมีความน่าสนใจเนื่องจากรับโอกาสจากการล็อก Yield ที่สูง และโอกาสในเรื่องของราคาตราสารหนี้ในพอร์ตที่ปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง จึงเป็นหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนใน Thai ESG ที่มีกรอบการลงทุน 5 ปี เหมาะกับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ
จัดทำโดยบลป. เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299