
อัปเดตคำแนะนำการลงทุนจาก Finnomena Funds (10 เมษายน 2025) ปรับโหมดเข้าลงทุนหลังทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีทั้งโลกยกเว้นจีน
สิ่งที่เกิดขึ้น
- ล่าสุดในคืนวันที่ 9 เมษายน 2025 ตามเวลาไทย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศ “ลด” อัตราภาษีนำเข้าลงมาอยู่ที่ระดับ 10% และ “เลื่อน” กำหนดการขึ้นภาษีตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ออกไปเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ยกเว้นแคนาดา เม็กซิโก และจีน โดยคงอัตราภาษีนำเข้าสำหรับแคนาดาและเม็กซิโกไว้ที่ 25% และเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจากจีนขึ้นเป็น 125%
- การประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจากจีน เป็นผลต่อเนื่องมาจากการตอบโต้ด้านภาษีของจีน โดยหลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า และสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่านานาประเทศไม่ควรตอบโต้มาตรการดังกล่าว แต่รัฐบาลจีนกลับประกาศขึ้นอัตราภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 50% จาก 34% สู่ระดับ 84% ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.เป็นต้นไป
- การประกาศลดและเลื่อนอัตราภาษีนำเข้าส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยในคืนวันที่ 9 เมษายน 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นแรง โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นถึง 9.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงสุดในวันเดียวนับตั้งแต่ปี 2008 ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.02% ซึ่งเป็นสถิติที่สูงสุดในวันเดียวนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2001 และดัชนี Russell 2000 ก็ปรับตัวขึ้นถึง 8.66%
ความเห็นของ Finnomena Funds
- การประกาศเลื่อนการขึ้นภาษี 90 วัน เป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้ในรายงานฉบับก่อนว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์มีเป้าหมายเพื่อการ “เจรจา (make deal)” มากกว่าการจะต้องการเก็บภาษีในระดับสูงสุดตามที่เคยประกาศไว้ในวันที่ 2 เมษายน
- เราเริ่มเห็นแรงต้านจากสังคมในสาธารณะต่อนโยบายการค้าของทรัมป์ ทั้งจากคะแนนนิยมของทรัมป์ที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง จนไปถึงความขัดแย้งที่เริ่มเกิดขึ้นภายในระหว่างผู้สนับสนุนและทีมงานของทรัมป์เอง
- อย่างไรก็ตามแม้สหรัฐฯ กับจีนยังคงระดับภาษีตอบโต้ในระดับสูง ซึ่งไม่ยั่งยืนและจะสร้างอันตรายทางเศรษฐกิจกับทุกฝ่าย เราเชื่อว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายจะนำไปสู่การเจรจา เช่นเดียวกับทิศทางที่มีการเลื่อนการขึ้นภาษีกับประเทศอื่น ๆ
แนะนำกลยุทธ์การลงทุน
- เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “เข้าลงทุน” ในสินทรัพย์เสี่ยงได้ หลังจากที่เราแนะนำ Wait and See เพื่อเตรียมลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2025 โดยได้คัดเลือกกองทุนที่มีโอกาสฟื้นตัวหลังตลาดหุ้นปรับฐานแรงในช่วงที่ผ่านมาดังนี้
กองทุนแนะนำ หลังตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัว
หุ้นเวียดนาม
ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ปรับฐานรุนแรง -15% หลังเหตุการณ์วันที่ 2 เมษายน 2025 จนถึงวันที่ 9 เมษายน 2025 เนื่องเวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบสูงหากสหรัฐฯ มีการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้า โดยจากความกังวลที่เริ่มคลี่คลาย ทำให้ในวันนี้ (10 เมษายน 2025) ตลาดหุ้นเวียดนามฟื้นตัว 6.9% ขณะที่ระดับ Valuation ของตลาดหุ้นถูกมากๆ อยู่ที่ 12-m forward P/E 7.3 เท่า หรือที่ระดับประมาณ -2 S.D. ในรอบ 10 ปี
เรามองว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามตอบรับเชิงลบมาก และความตึงเครียดที่เริ่มผ่อนคลายลง จึงเป็นโอกาส “เข้าลงทุน” ในหุ้นเวียดนามผ่านกองทุน PRINCIPAL VNEQ–A และกองทุน KKP VGF-UI*
กองทุน PRINCIPAL VNEQ–A เป็นกองทุนความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลัก ในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รวมทั้งตราสารทุนอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องและ/หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ/หรือกองทุนรวม โดยปัจจุบันกองทุน PRINCIPAL VNEQ–A ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
กองทุน KKP VGF-UI* เป็นกองทุนความเสี่ยงสูงมากอย่างมีนัยสำคัญ (ระดับ 8+) โดยกองทุนหลักจดทะเบียนในประเทศเวียดนามและมีการบริหารแบบ Active Management ซึ่งสามารถลงทุนในหุ้นรายตัวโดยไม่มีข้อจำกัด Foreign Ownership Limit ทีมบริหารกองทุนเป็นคนเวียดนามช่วยทลายข้อจำกัดด้านภาษาทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้น โดยปัจจุบันกองทุน KKP VGF-UI* ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
*กองทุนนี้เป็นกองทุนที่เสนอขายให้ผู้ลงทุนประเภทผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra-Accredited Investor) ตามคำนิยามของสำนักงาน ก.ล.ต. จึงไม่ถูกจำกัดกรอบนโยบายการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป ดังนั้น กองทุนนี้จึงอาจมีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อนมากกว่ากองทุนที่เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป และเหมาะกับผู้ลงทุนที่ยอมรับผลขาดทุนและความเสี่ยงระดับสูงได้เท่านั้น ทั้งนี้กองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นในประเทศเวียดนาม โดยในกรณีสถานการณ์เชิงลบอย่างมากที่สุดที่อาจเกิดขึ้น (worst case scenario) กองทุนนี้อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดที่ลงทุนในกองทุนหลักที่เน้นลงทุนในหุ้นในประเทศเวียดนามดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อการลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนนี้ โดยผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนนี้อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งจำนวนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนลงทุนในกองทุนนี้ ทั้งนี้ผู้ลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องจากการลงทุนในกองทุนนี้อย่างละเอียดและขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
หุ้นเทคโนโลยี
หลังจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในวันที่ 2 เมษายน 2025 หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เมื่อมองผ่านดัชนี Nasdaq 100, หุ้นเทคโนโลยีจีน, และหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั่วโลก เช่น TSMC, Samsung, ASML ต่างปรับตัวลงแรงในช่วงวันที่ 3-4 เมษายน อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มนี้สามารถปรับตัวขึ้นได้แรงในคืนวันที่ 9 เมษายน 2025 หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศลดและเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้า
เรามองว่าปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังไม่ได้เปลี่ยนแปลง หุ้นเหล่านี้ยังมีการเติบโตของกำไรตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเมื่อดูระดับ valuation หลังจากการปรับฐานในช่วงก่อนหน้านี้ ดัชนี Nasdaq 100 ในปัจจุบันมีค่า Forward P/E อยู่ที่ 23.2 เท่า อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพงเกินไป
จึงมีคำแนะนำ “ทยอยสะสม” กองทุน B-INNOTECH ซึ่งเป็นกองทุน F-Pick ในหมวดกองทุนหุ้นเทคโนโลยี โดยกองทุนดังกล่าวลงทุนในกองทุนหลัก Fidelity Funds – Global Technology Fund ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีการเติบโตของกำไรที่ดี และมี valuation ที่ไม่แพงเกินไป
กลยุทธ์การเลือกหุ้นดังกล่าวทำให้กองทุนมีความผันผวนที่ต่ำ ผลตอบแทนของกองทุนเมื่อวัดตั้งแต่ต้นปี (YTD) ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน กองทุนทำผลตอบแทนได้ -4.2% ในขณะที่ดัชนีชี้วัดทำผลตอบแทนได้ -11.6% และดัชนีหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง Nasdaq 100 ทำผลตอบแทนได้ -8.8% ผลตอบแทนแสดงถึงความสามารถในการรับมือกับสภาวะตลาดผันผวนได้เป็นอย่างดี
กองทุนมีสัดส่วนลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก นำโดย TSMC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปที่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมากที่สุดแห่งหนึ่ง รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ขนาดใหญ่อย่าง Apple, Amazon, Alphabet และ Microsoft ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้ถูกแรงเทขายในช่วงก่อนหน้านี้จากความกังวลเรื่องผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีการประกาศลดและเลื่อนภาษีนำเข้า หุ้นกลุ่มนี้ก็กลับมาทำผลตอบแทนเป็นบวกได้อีกครั้ง
คำเตือน: เอกสารฉบับนี้จัดทําขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์ซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จํากัด และ/หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้ จัดทําโดยอาศัยข้อมูลที่จัดหามาจากแหล่งที่เชื่อหรือควรเชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือและ/หรือถูกต้อง อย่างไรก็ตามบริษัทไม่ยืนยัน และไม่รับรองถึงความครบถ้วนสมบูรณ์หรือถูกต้องของข้อมูลดังกล่าว และไม่ได้ประกันราคาหรือผลตอบแทนของหน่วยลงทุนที่ปรากฏข้างต้น แม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะปรากฏข้อความที่อาจเป็น หรืออาจตีความว่าเป็นเช่นนั้นได้ บริษัทจึงไม่รับผิดชอบต่อการนําเอาข้อมูล ข้อความ ความเห็น และหรือบทสรุปที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้ไปใช้ไม่ว่ากรณีใดๆ บริษัทรวมทั้งบริษัทที่เกี่ยวข้อง ลูกค้า ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทต่าง ๆ อาจจะทําการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อ หรือขายหลักทรัพย์ที่ปรากฎในเอกสารฉบับนี้ได้ทุกเวลา ข้อมูล และความเห็นที่ปรากฎอยู่ในเอกสารฉบับนี้ มิได้ประสงค์จะชี้ชวน เสนอแนะ หรือจูงใจให้ตัดสินใจลงทุน หรือซื้อ หรือขายหน่วยลงทุนที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้ และข้อมูลอาจมีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ผู้ลงทุนควรใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบในการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อหรือขายหลักทรัพย์ บริษัทสงวนลิขสิทธิ์ในข้อมูลที่ปรากฎในเอกสารนี้ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้ประโยชน์ ทําซ้ำ ดัดแปลง นําออกแสดง ทําให้ปรากฏหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนไม่ว่าด้วยประการใด ๆ ซึ่งข้อมูลในเอกสารนี้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากบริษัท เป็นการล่วงหน้า การกล่าวคัด หรืออ้างอิงข้อมูลบางส่วนตามสมควรในเอกสารนี้ ไม่ว่าในบทความ บทวิเคราะห์ บทวิจัย หรือในเอกสาร หรือการสื่อสารอื่นใดจะต้องกระทําโดยถูกต้อง และไม่เป็นการก่อให้เกิดการเข้าใจผิดหรือความเสียหายแก่บริษัท ต้องรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในข้อมูลของบริษัท และต้องอ้างอิงถึงฉบับที่และวันที่ในเอกสารฉบับนี้ของบริษัทโดยชัดแจ้งการตัดสินใจลงทุน หรือซื้อ หรือขายหน่วยลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ท่านควรทําความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อลักษณะของหน่วยลงทุนแต่ละประเภท และควรศึกษาข้อมูลของบริษัทที่ออกหน่วยลงทุนและข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวข้องก่อนการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อหรือขายหน่วยลงทุน