ทศวรรษที่หายไป โอกาสใหม่นักลงทุน

Highlight


“ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจไม่ได้เติบโตเสมอไป” นี่คือแนวคิดที่สะท้อนอยู่ในบทความ “ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?” ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งกล่าวถึงวัฏจักรของตลาดหุ้นที่ไม่ได้มีแค่ช่วงขาขึ้น แต่ยังมีช่วงซบเซาอย่างยาวนานที่เรียกว่า “Lost Decade”  ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นแทบไม่เติบโตเลย หรือแม้กระทั่งให้ผลตอบแทนติดลบนานเป็น 10 ปี

ดร.นิเวศน์ เขียนบทความพาย้อนดูประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กว่า 75 ปี ผ่านดัชนี S&P 500 ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงที่ถือว่าเป็น “Lost Decade” นั่นคือปี 1968 – 1982 และปี 2000 – 2009 ซึ่งทั้งสองช่วงนี้มีปัจจัยทางเศรษฐกิจและวิกฤติสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการลงทุนในตลาดหุ้น 

ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ค่อนข้างท้าทาย โดยดัชนี S&P 500 ได้ปรับตัวลงมาหลุดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนมักใช้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาด หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงทิศทางของตลาดในอนาคตว่าจะเป็นเช่นไร จะเป็นการปรับฐานชั่วคราวหรือมีความเสี่ยงที่จะรุนแรงกว่านั้น?

อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพรวมตลาดสหรัฐฯ ก็ยังคงเติบโตและมีโอกาสอยู่เสมอ

มองหาโอกาส เมื่อสหรัฐฯ ปรับฐาน

S&P500 หลุด 200 วัน

Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 17/03/2025

เมื่อ S&P500 หลุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน นักลงทุนมักกังวลว่า ตลาดจะปรับตัวลงต่อมากน้อยแค่ไหน?

จากกราฟแสดงให้เห็นว่า หากการหลุดเส้น 200 วันเกิดขึ้นและในอีก 12 เดือนข้างหน้าเกิด Recession ตามมา ตลาดมักจะเผชิญกับการปรับฐานที่รุนแรงกว่า โดยมีค่าเฉลี่ยของการลดลงสูงสุด (Max Drawdown) ที่ -5.62% และบางช่วงเวลาอย่างในปี 1929 หรือช่วง Dot-Com Bubble ปี 2000 ตลาดเคยดิ่งหนักถึง -80%

ในทางกลับกัน หาก S&P500 หลุดเส้น 200 วันแต่ ไม่เกิด Recession ใน 12 เดือนข้างหน้า การปรับตัวลงมักไม่รุนแรงมาก โดย Max Drawdown อยู่ที่เพียง -2.06% และส่วนใหญ่แล้ว (ประมาณ 88.38%) ราคาจะลดลงไม่เกิน 5%

S&P500 ซื้อหลังหลุดเส้น 200 วัน

Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 17/03/2025

*ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

อีกหนึ่งคำถามสำคัญที่นักลงทุนสงสัยก็คือ จังหวะแบบนี้ควรเข้าซื้อหรือไม่? ซึ่งคำตอบขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตว่า จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือเปล่า?

หากมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยใน 12 เดือนข้างหน้า ตลาดมีแนวโน้มฟื้นตัวได้น้อย โดยผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 200 วันถัดไปหลังจากหลุดเส้น 200 วันอยู่ที่เพียง 2.67% และมีโอกาสทำกำไรเพียง 40.22% ซึ่งหมายความว่าความเสี่ยงยังคงสูงและอาจไม่ใช่จังหวะที่ดีในการเข้าซื้อ

ในทางกลับกัน หากไม่มีภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมา นี่อาจเป็นโอกาสลงทุน เพราะค่าเฉลี่ยผลตอบแทนใน 200 วันข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 7.75% และโอกาสทำกำไรก็สูงถึง 70.71% บ่งชี้ว่าตลาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้มากกว่า

S&P500 เริ่มมี Valuation ที่แพงน้อยลง

Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 14/03/2025

ในมุมมองของปัจจุบัน ดัชนี S&P 500 อยู่ที่ระดับ 5,639 จุด โดย P/E Ratio ปัจจุบันอยู่ที่ 20.5 เท่า ซึ่งดูเหมือนจะกำลังเคลื่อนไปสู่การประเมินมูลค่าที่เหมาะสมมากขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้อยู่ในช่วงราคาสูงเกินไป ด้านคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ก็สะท้อนการเติบโตที่มีแนวโน้มค่อนข้างมั่นคง

Valuation คลายตัวลง

หุ้น Mag7 มี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 14/03/2025

จากการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้กลุ่ม “7 นางฟ้า” หรือ “Magnificent 7” ซึ่งประกอบไปด้วย Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Tesla และ Nvidia กำลังซื้อขายที่ระดับ P/E Ratio 25.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าการประเมินมูลค่าของหุ้นเหล่านี้อาจสมเหตุสมผลขึ้น

Russell 2000 มี valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 14/03/2025

ขณะที่ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก ปัจจุบันมี P/E Ratio ที่ 24.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเช่นกัน และมีการคาดการณ์กำไรที่เติบโตได้ดี สะท้อนโอกาสในการลงทุนหุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่ถูกประเมินมูลค่าสูงเกินไป

กระสุนจาก Fed ปลุกพลังเศรษฐกิจ

Fed ยังมีกระสุน

Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 17/03/2025

อย่างไรก็ตาม หากอนาคตสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงมี “กระสุน” หรือเครื่องมือทางการเงินเพียงพอที่จะเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจหากจำเป็น

การคาดการณ์จากกราฟเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 และ 25 มีนาคม 2025 สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของนโยบายการเงิน จากเดิมที่คาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง มาเป็นการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดถึง 3 ครั้ง ตามข้อมูลจาก Fed Funds Futures

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันยังคงอยู่ที่ระดับ 4.50% และอัตราที่ตลาดคาดการณ์ในอนาคต (Implied Overnight Rate) ลดลงจาก 3.951% (ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์) มาอยู่ที่ 3.603% (ณ วันที่ 25 มีนาคม) พร้อมการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะทยอยลดลงไปสู่ระดับประมาณ 3.5% ภายในกลางปี 2026

โอกาสยังมี แม้ความเสี่ยงยังอยู่

แม้ว่าดัชนี S&P500 จะเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนตัว แต่ปัจจัยหลายอย่างยังคงสนับสนุนตลาด เช่น เงินเฟ้อที่ยังไม่น่ากังวล ซึ่งอาจเปิดทางให้ Fed ส่งสัญญาณ Dovish มากขึ้น

ขณะเดียวกัน Valuation ของหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Mag-7 และหุ้นขนาดเล็กเริ่มต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งสะท้อนว่าความเสี่ยงด้านราคาถูกจำกัดลง หากไม่เกิด Recession ในช่วงที่ S&P500 หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ข้อมูลทางสถิติชี้ว่านี่อาจเป็นโอกาสสะสมหุ้นมากกว่าจุดที่ต้องตื่นตระหนก

Finnomena Funds ยังคงมุมมอง Neutral ต่อดัชนี S&P500 หลังจากปรับลดมุมมองในช่วงต้นเดือน แต่ยังมองว่าเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการ Selective Buy โดยเน้นไปที่ หุ้นขนาดกลางและเล็กที่มี Valuation ไม่แพง เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว

โอกาสลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ

  • MEGA10-A กองทุนที่เน้นลงทุนใน 10 หุ้นสหรัฐอเมริกาขนาดใหญ่ที่มีแบรนด์อันแข็งแกร่ง โดยมองเป็นจังหวะย่อซื้อในช่วงตลาดปรับฐานแรง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ Recession ในระยะเวลาอันใกล้
  • ASP-USSMALL-A กองทุนหุ้นขนาดกลาง-ขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกา ที่ยังไม่ถูกประเมินมูลค่าสูงเกินไป โดยคัดหุ้นเพียง 15-35 ตัวที่มั่นใจว่าดี ด้วยกลยุทธ์แบบ Bottom-Up มีเป้าหมายเอาชนะดัชนีชี้วัด Russell 2000

อ้างอิง: ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?, Finnomena Live

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. โทร. 02-026-5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Wealth Health Check