จากบทความหลาย ๆ อันก่อนหน้านี้ของเรา ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากเครื่องชี้วัดความเสี่ยงในการถดถอย (US recession risk indicator) ที่แสดงผลเป็นบวกทั้งหมดตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2021 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน (ล่าสุดเดือนกันยายน 2021)
ในบทความนี้ เราจะมาวิเคราะห์ว่าแต่ละเครื่องชี้วัดผลอะไร แปลผล และส่งสัญญาณต่อเศรษฐกิจในอนาคตว่าอย่างไรบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ และสามารถประเมินภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เครื่องชี้วัดด้านผู้บริโภค (Consumer)
Housing Permits วัดปริมาณการซื้อบ้านใหม่ โดยหากเศรษฐกิจชะลอตัว ประชาชนมักจะชะลอการซื้อบ้าน และอาศัยอยู่ที่เดิมไปก่อนจนกว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะบ้านมีราคาสูง และผู้บริโภคมักจะชะลอการซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาสูง ถ้ายังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้น ถ้า Housing Permits ปรับตัวสูงขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวเช่นเดียวกัน
Job Sentiment วัดระดับบรรยากาศการจ้างงาน โดยตลาดแรงงานที่เติบโต บรรยากาศการจ้างงานที่ดีขึ้นจะส่งผลให้ประชาชนกล้าใช้จ่ายมากขึ้น และกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน ถ้าบรรยากาศตลาดแรงงานไม่ดี ประชาชนจะลดการใช้จ่าย เป็นผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงในที่สุด
Jobless Claims วัดระดับการว่างงาน โดยการว่างงานที่สูงขึ้น ทำให้แรงงานขาดรายได้ ซึ่งจะส่งผลให้การใช้จ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วย เนื่องจากประชาชนไม่มั่นใจว่าจะสามารถหารายได้ได้เพียงพอหรือไม่ และไม่มั่นใจว่าจะกลับมาทำงานได้อีกครั้งเมื่อใด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น Jobless Claims ในระดับสูง แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว
Retail Sales วัดระดับการอุปโภคบริโภคของประชาชน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยเฉพาะในประเทศระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ
Wage Growth วัดระดับการเติบโตของค่าแรง โดยค่าแรงที่สูงขึ้นจะกระตุ้นการใช้จ่าย และความต้องการที่สูงขึ้นนี้เองจะกดดันทำให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นด้วย นอกจากนั้น ค่าแรงที่สูงขึ้นยังเป็นต้นทุนของบริษัทผู้ผลิต ซึ่งมักจะผลักต้นทุนส่วนนี้มาเพิ่มในราคาสินค้าและบริการ ให้ปรับตัวสูงขึ้นอีกทางหนึ่ง ทำให้เครื่องชี้ Wage Growth นี้มักสะท้อนอัตราเงินเฟ้อด้วย
เครื่องชี้วัดด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Business activity)
Commodities วัดระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในสินค้าต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ทองแดง เหล็ก ไม้ และน้ำมัน โดยในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว การใช้จ่ายลดลง ทำให้ความต้องการสินค้าต่าง ๆ ลดลงด้วย เป็นผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และวัตถุดิบต่าง ๆ ข้างต้นจะปรับตัวลง
ISM New Orders วัดประมาณการของคำสั่งซื้อในอนาคตของธุรกิจ เช่น ถ้าธุรกิจประมาณการว่าจะมีปริมาณการสั่งซื้อเข้ามาเพิ่ม แสดงว่าผู้ประกอบธุรกิจมองว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และกิจกรรมทางเศรษฐกิจกำลังจะกลับมาอีกครั้ง
Profit Margins วัดระดับอัตราการทำกำไรของบริษัท โดยระดับกำไรของบริษัทจะเริ่มลดลง เมื่อเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว กล่าวคือ สินค้าและบริการขายได้น้อยลง แต่ต้นทุนไม่ได้ลดลงในอัตราส่วนที่เท่ากัน ทำให้บริษัทลดการลงทุน ตลอดจนการจ้างงาน เป็นผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวในที่สุด
Truck Shipments วัดระดับปริมาณการขนส่งสินค้าโดยรถบรรทุก โดยในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ความต้องการของสินค้าจะลดลง เป็นผลให้ Truck Shipments ปรับตัวลดลง
เครื่องชี้วัดด้านการเงิน (Financial)
Credit Spreads วัดความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนหุ้นกู้เอกชนกับพันธบัตรรัฐบาล ที่มีระยะเวลาเท่ากัน โดยยิ่ง Credit Spreads สูงขึ้น จะส่งสัญญาณว่า นักลงทุนวิตกกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท ทำให้ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
Money Supply วัดปริมาณเงินในระบบ โดยที่ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารกลางมักอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ธนาคารกลางก็มักจะดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง
Yield Curve วัดความแตกต่างของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี และ 3 เดือน โดยยิ่งํ Yield Curve มีค่ามากขึ้น (ชันขึ้น) หมายความว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในอนาคตจะดีกว่าเศรษฐกิจปัจจุบันมากขึ้นตามลำดับ
เครื่องชี้วัดต่าง ๆ ข้างต้นสามารถปรับระดับเพื่อจำลองผลกระทบต่อภาวะโดยรวมได้ด้วยตนเอง ปรับแล้วจะเป็นอย่างไร หน้าตาเป็นแบบไหน คลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อทดลองใช้กันได้เลยครับ ฟรี!
https://www. franklintempleton.com/ insights/anatomy-of-a- recession#recession-risk
สรุปมุมมองปัจจุบัน
เราเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และจะเติบโตต่อเนื่องต่อไป สะท้อนจากเครื่องชี้ทั้งหมดที่แสดงผลเป็นสีเขียวตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2021 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (ล่าสุดเดือนกันยายน 2021 ) โดยเครื่องชี้ต่าง ๆ แสดงจุดต่ำสุดในช่วงปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่ COVID-19 ระบาดใหม่ ๆ และมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี การระดมฉีดวัคซีน และค่อย ๆ เปิดเมื่องทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง และเครื่องชี้หลายตัวได้เริ่มทยอยเปลี่ยนสีจากแดง เป็นเหลือง และเขียวในที่สุด ดังตารางด้านล่าง โดยผู้เขียนได้นำเครื่องชี้แบบเดียวกัน ที่แสดงผลในปี 2007-2009 (ช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์) และ 2001 (ช่วยวิกฤติ Dotcom) เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพการฟื้นตัว และการเปลี่ยนสีของเครื่องชี้ในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ชัดเจนขึ้นด้วย
กรณีศึกษาของเครื่องชี้ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
กราฟด้านบนแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวขึ้นลงของดัชนี S&P500 และเครื่องชี้ภาพรวม โดยจะเห็นว่าเมื่อเครื่องชี้เป็นสีเขียว ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ดี การอ่านเครื่องชี้ต่าง ๆ ต้องอ่านด้วยความระมัดระวัง และประเมินสถานการณ์จริงประกอบด้วย โดยเมื่อเริ่มมีสัญญาณสีเหลือง (เริ่มจาก Yield Curve Inverts และ Recession) ตลาดหุ้นยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ ก่อนมีการปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ และเครื่องชี้ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งนี้ ใน วิกฤติ COVID-19 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีความเฉพาะตัวสูง ดัชนี S&P500 ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และเร็วกว่าการแสดงผลของเครื่องชี้ต่าง ๆ ที่ยังเป็นสีแดงอยู่ (เครื่องชี้ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาในการแสดงผล) แม้ว่าดัชนี S&P500 จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญแล้ว และภายหลังเครื่องชี้ต่าง ๆ ก็แสดงผลเป็นสีเขียว แสดงสัญญาณที่ชัดเจนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และน่าจะแสดงว่าการฟื้นตัวดังกล่าวมีความแข็งแกร่ง และเศรษฐกิจน่าจะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
เนื้อหาต้นฉบับโดย
ClearBridge Investment
ข้อสงวนสิทธิ์
แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ให้บริการการให้คำแนะนำทั่วไปแก่ FINNOMENA ในการออกแบบพอร์ตการลงทุน (Asset Allocations)
แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น
ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ
แหล่งข้อมูล
https://www. franklintempleton.com/ insights/anatomy-of-a- recession#recession-risk