ตั้งแต่ต้นปี 2022 การปรับตัวลงของตลาดหุ้นสร้างความเสียหายให้กับหุ้นขนาดจิ๋ว (microcap) อย่างมีนัยสำคัญ ดัชนี Russell Microcap Index (กลุ่มหุ้นขนาดจิ๋วที่มีมูลค่าตามราคาตลาดระหว่าง 30 ถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ปรับตัวลงประมาณ 25% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2022 ซึ่งมากกว่าการปรับตัวลงของหุ้นในภาพรวมของตลาดสหรัฐฯ (ที่วัดโดยดัชนี Russell 3000) ที่ปรับตัวลงเพียง 20%
อย่างไรก็ดี เรามองว่าหุ้น microcap ของบริษัทที่มีคุณภาพดี สะท้อนจากงบการเงินที่แข็งแกร่ง ภายใต้การบริหารจัดการที่ดี น่าจะสามารถฟื้นตัวได้ และสร้างผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ เราจึงเชื่อว่าช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ได้ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
หุ้น microcap ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในมิติระดับการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่ม microcap เอง และเมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นอื่น ๆ เช่น หุ้นขนาดใหญ่ (large cap) ในปัจจุบัน หากเราพิจารณาจากอัตราส่วน P/E[1] จะพบว่าหุ้น microcap มีอัตราส่วน P/E ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ 2008 โดยมีอัตราส่วน P/E อยู่ที่ 10.5 เท่า ซึ่งเราเชื่อว่า หุ้น microcap ที่มีกำไรต่อเนื่อง น่าจะยังมีอนาคตที่สดใส และในที่สุดอัตราส่วน P/E ที่ปรับตัวต่ำลงในช่วงนี้ จะค่อย ๆ ฟื้นตัวได้ และกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยในระยะยาว เป็นเหตุให้ราคาหุ้น microcap น่าจะฟื้นตัวตามกำไรในที่สุด
เราชอบหุ้น microcap ที่ประกอบกิจการในสหรัฐฯ ซึ่งเรามองว่าช่วยลดความเสี่ยงจากสภาวะความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศได้ และสร้างข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากนั้น จากสถิติที่ผ่านมา เมื่อหุ้น microcap ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ก็มักจะฟื้นตัวได้เร็วเช่นกัน โดยในอดีต เมื่อหุ้น microcap ปรับตัวลง 25% ก็จะปรับตัวขึ้น 30% ในปีถัดไป และโดยเฉลี่ยจะปรับขึ้น 49% ภายใน 2 ปี (ยกเว้นในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่หุ้น microcap ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน)
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และเราอาจเห็นหุ้น microcap ปรับตัวลงได้อีก แต่เราเชื่อว่าการปรับตัวลงจะเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน และการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว ซึ่งน่าจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอในอนาคต
Figure 1 กราฟแสดงให้เห็นการประเมินมูลค่าของหุ้น microcap ผ่านอัตราส่วน P/E ที่ปรับตัวลงต่ำกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ทำให้หุ้นกลุ่มนี้เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น โดย P/E ในระดับปัจจุบัน ถือว่าต่ำกว่าช่วงก่อนหน้านี้อย่างมาก
Figure 2 ตารางแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของหุ้น microcap หลังจากเกิดการปรับฐานอย่างรุนแรง โดยเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน 1 ปี และ 2 ปี หุ้น microcap จะปรับขึ้นโดยเฉลี่ย 13.8% 30.4% และ 49.0% ตามลำดับ
มีหลายเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวต่ำลง ทั้งจากวัฏจักรเศรษฐกิจ การลงทุนในอุตสาหกรรมขาลง หรือปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัท ซึ่งเรามองว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้ เคล็ดลับคือการเลือกหุ้นที่มีคุณภาพดี ซึ่งเราชอบหุ้นที่บริษัทไม่มีหนี้สิน หรือมีในระดับที่ควบคุมได้ เนื่องจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางอาจทำให้ภาระในการชำระหนี้ของบริษัทเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น
จากสถิติที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทที่มีระดับหนี้สินต่ำจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง และความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงเชื่อว่าหุ้นของบริษัทที่มีหนี้สินต่ำน่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า และหากมีการปรับตัวลงต่อ ก็น่าจะปรับตัวลงน้อยกว่าเช่นกัน
Figure 3 กราฟแสดงผลตอบแทนของการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีระดับหนี้สินต่างกัน โดยหุ้นของบริษัทที่มีระดับหนี้สินต่ำจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน เราชอบบริษัทที่คณะผู้บริหารมีประสบการณ์ในการบริหารบริษัทผ่านช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งในช่วงเจริญรุ่งเรือง และช่วงวิกฤต และประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสเงินสด ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ โดยเราอยากให้นักลงทุนตั้งเป้าไปที่การลงทุนในระยะ 3-5 ปี เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่น่าพอใจ ทั้งนี้ เราแนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีปัญหาเรื้อรัง หรือปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเรามองว่าจะกดดันผลตอบแทนของการลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ดี เรามองว่าหากเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ หรือปัญหาชั่วคราว นักลงทุนยังสามารถลงทุนได้ โดยเราเชื่อว่ายิ่งบริษัทมีคุณภาพดีมากเท่าไร ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น เช่นกัน
ด้วยหุ้น microcap จะได้รับความสนใจจากกองทุน และนักวิเคราะห์น้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะต้องมีการติดตามสถานการณ์ และประเมินผลการลงทุนอย่างใกล้ชิด ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้หลายตัวมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และมีแนวโน้มการทำกำไรที่สูง เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ซึ่งหากในอนาคต นักลงทุนสถาบัน และกองทุนให้ความสนใจในหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น น่าจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าอีกมาก และสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยจากสถิติที่ผ่านมา จากหุ้น 1,756 ตัวที่เรามองว่าเป็นหุ้น microcap จะมีนักวิเคราะห์ให้ความเห็นเฉลี่ยหุ้นละ 4 คน เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่กว่าที่จะมีค่าเฉลี่ยนักวิเคราะห์ 17 คนต่อหุ้น ทำให้เราเชื่อว่า หากหุ้น microcap เหล่านี้ทำผลงานได้ดี นักวิเคราะห์จะให้ความสนใจ และดึงดูดให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนเพิ่ม
ความท้าทายในการลงทุนในหุ้น microcap จึงเป็นการเลือกลงทุนหุ้นในบริษัทที่มีคุณภาพ และมีอนาคตที่ดี ซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนลงทุน เนื่องจากหุ้น microcap บางตัวอาจจะเป็นหุ้นที่กำลังเติบโต และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนักลงทุนควรลงทุน แต่ในทางตรงกันข้ามหุ้น microcap บางตัวก็อาจจะเคยเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ที่ผลประกอบการค่อย ๆ ชะลอตัว และค่อย ๆ ลดขนาดบริษัทลงจนเป็นหุ้น microcap ซึ่งนักลงทุนควรหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุนี้ การติดตามและประเมินผลการลงทุนอย่างใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้
เราเชื่อว่าการลงทุนในหุ้น microcap น่าสนใจในระยะยาว และจะสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยนักลงทุนจำเป็นต้องเลือกหุ้น microcap ของบริษัทที่มีคุณภาพ มีการบริหารจัดการ และมีอนาคตที่ดี โดยอาจพิจารณาจากกำไรที่สูง ระดับหนี้สินที่ต่ำ และวิสัยทัศน์ของคณะผู้บริหาร แม้ว่าในระยะสั้น อาจมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่เราเชื่อว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
Figure 4 กราฟแสดงให้เห็นว่าหุ้น microcap ยังได้รับความสนใจค่อนข้างน้อยจากนักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบัน ซึ่งหากนักลงทุนเลือกลงทุนหุ้น microcap ที่มีคุณภาพ ก็จะเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว และเมื่อมีนักลงทุนเริ่มเข้ามาให้ความสนใจมากขึ้น ก็จะมีเม็ดเงินจากการลงทุนไหลเข้ามามากขึ้น ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นในที่สุด
[1] P/E คือ อัตราส่วนทางการเงินที่เทียบกันระหว่าง price / earnings per share: ราคาหารด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น ซึ่งเป็นตัวบอกว่า ถ้าเราซื้อหุ้นตอนนี้ จะได้ทุนคืนในเวลากี่ปี หากบริษัทยังทำกำไรได้เท่าเดิมในทุกๆ ปี
ข้อสงวนสิทธิ์
แหล่งข้อมูล
https://www.
Advance, Article, FED, FINNOMENA Franklin Templeton, Knowledge, Long Content, ขึ้นดอกเบี้ย