ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ตลาดหุ้นและตลาดการเงินเคลื่อนไหวอย่างผันผวน ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เรามองว่าสถานการณ์เช่นนี้จะคงอยู่ต่อไปในปี 2022 นักลงทุนจึงควรพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ ในการลงทุน โดยการลงทุนในสินทรัพย์ ที่สร้างกระแสรายได้ที่มีความแน่นอน และค่อนข้างสม่ำเสมอในอนาคต น่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ และจะน่าสนใจมากขึ้นอีก ถ้ายิ่งเป็นการลงทุนในกลุ่มบริษัทที่ยังมีรายได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะไม่เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับหุ้นเติบโต (growth stock)
ทั้งนี้ เราเชื่อว่าในปี 2022 หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคจะสร้างผลตอบแทนที่ดี ท่ามกลางการเร่งตัวของเงินเฟ้อ ซึ่งจะผลักดันให้ราคาสาธารณูปโภคปรับตัวสูงขึ้น และเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มดังกล่าว นอกจากนั้น แรงขับเคลื่อนจากกระแสความยั่งยืน โดยเฉพาะการรณรงค์ด้านภูมิอากาศ (climate change) น่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนหุ้นกลุ่มนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1. เงินเฟ้อและการเติบโตที่จะค่อย ๆ ชะลอตัวลงในปี 2022 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นในปี 2021 พร้อมกับการเติบโตอย่างร้อนแรงของเศรษฐกิจจากมาตรการการกระตุ้นภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 เรามองว่า เงินเฟ้อและการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นมานั้นจะค่อย ๆ ชะลอตัวลงในปี 2022 เมื่อเทียบกับปี 2021 (แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา) อย่างไรก็ดี การประเมินสถานการณ์ในปี 2022 เป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง เนื่องจากยังมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ เป็นระยะ ๆ กอปรกับปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ที่ทำให้ราคาสินค้าและบริการหลายอย่างปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสามารถกดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอีกครั้ง
ในทางกลับกัน การปูพรมฉีดวัคซีน หากทำได้อย่างรวดเร็วก็จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเช่นกัน ในการนี้ เราเชื่อว่าผลตอบแทนพันธบัตรจะคงอยู่ในระดับต่ำ และต่ำกว่าระดับเงินเฟ้อ ทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริง (real yield) จะติดลบ และนั่นเป็นเหตุผลทำให้เราเชื่อว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภค ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนไปในทิศทางเดียวกันอัตราเงินเฟ้อ น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในปี 2022 อาทิ
2. อัตราเงินเฟ้อจะกดดันหุ้นกลุ่มอื่น ๆ แต่จะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานน้อย โดยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จะกดดันให้ผู้ประกอบธุรกิจผลักภาระไปให้ผู้บริโภค เพื่อรักษาอัตราการทำกำไรไว้ ซึ่งราคาที่สูงขึ้น จะทำให้การคาดหวังเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น และจะเป็นกลไกทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไปอีก อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนี้เองจะทำให้ต้นทุนการประกอบธุรกิจสูงขึ้น และกดดันผลประกอบการของบริษัท ในทางกลับกัน หากบริษัทรับต้นทุนที่สูงขึ้นไว้ โดยไม่ผลักภาระให้ผู้บริโภค ก็จะทำให้อัตราการทำกำไรต่ำลง อย่างไรก็ดี จุดเด่นของหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค คือรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน และประมาณการได้ ซึ่งมักจะสอดคล้องไปตามอัตราเงินเฟ้อ หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นไปตามอัตราเงินเฟ้อนั่นเอง อาทิ ค่าทางด่วน ค่าเช่าพื้นที่ในท่าอากาศยาน ซึ่งเรามองว่าจะเป็นเกราะกำบังความผันผวนที่เหนือกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
3. นโยบายการส่งเสริมความยั่งยืนและการผลักดันจากทุกภาคส่วนจะทำให้หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยเรามองว่านโยบายการส่งเสริมความยั่งยืน ทำให้กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องต้องปรับตัว เช่น การลงทุนสร้างโรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนระบบการทำงานแบบใหม่ ทีไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเม็ดเงินที่ต้องนำมาใช้ในการลงทุนบางส่วน จะได้มาจากการขึ้นราคาสินค้าและบริการสาธารณูปโภคนั่นเอง ซึ่งเรามองว่าน่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นได้ดีในอนาคต นอกจากนั้น กฎหมายโครงสร้างพื้นฐานฉบับใหม่น่าจะช่วยผลักดันการลงทุนในเรื่องดังกล่าวมากขึ้นอีก ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะช่วยปลดล็อคให้การลงทุนในเรื่องดังกล่าวทำได้ง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกรองรับหุ้นกลุ่มนี้อีกทางหนึ่ง
จากที่กล่าวมาทั้งหมด เรามีมุมมองค่อนข้างเป็นบวกต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค โดยเราชอบกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง (เช่น กลุ่มบริษัทที่ผู้บริโภคเป็นผู้ชำระค่าบริการ) ซึ่งเราเชื่อว่าราคาค่าบริการโครงสร้างพื้นฐาน และค่าสาธารณูปโภคจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในปี 2022 อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเราแนะนำให้นักลงทุนโฟกัสกับกลุ่มโทรคมนาคม และกลุ่มสาธารณูปโภคที่เติบโตสูง โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานทดแทน ทั้งนี้ เรามองว่ามูลค่าของหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคยังไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก โดยส่วนมากยังอยู่ในระดับ 10-12 เท่าของอัตราส่วนมูลค่าบริษัทต่อกำไร (EV/EBITDA) ซึ่งเรามองว่ายังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ อนึ่ง เราเห็นว่าตลาดยังไม่ได้นำปัจจัยด้านต้นทุนที่ถูกลง และแนวโน้มการเข้าสู่สังคมที่เน้นความยั่งยืนเข้าไปประกอบการประเมินมูลค่าเท่าไรนัก ซึ่งเรามองว่าน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่น่าจะสร้างผลตอบแทนกับหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้นอีก
เนื้อหาต้นฉบับโดย
Nick Langley
Managing Director, Portfolio Manager
Clearbridge Investments
ข้อสงวนสิทธิ์
แหล่งข้อมูล
https://www.franklintempleton.com/articles/clearbridge-investments/defensive-growth-or-just-defense
Advance, Article, FINNOMENA Franklin Templeton, Infrastructure Fund, Knowledge, Long Content, utility sector