หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวจาก COVID-19 และเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา จนถึงปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องกลับมาทบทวนว่าจะจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไรดี ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของสหรัฐฯ FED ก็ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะค่อย ๆ ลดวงเงินการซื้อสินทรัพย์ และทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป และท้ายที่สุดจะเข้าสู่กระบวนการลดงบดุลของ Fed
เรามองว่าการส่งสัญญาณใด ๆ ของ Fed จะเป็นความท้าทายอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไป กล่าวถือ ถ้า Fed ลดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วเกินไป อาจทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจหยุดชะงัก ตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน หาก Fed ไม่สามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ ก็จะทำให้เกิดปัญหาเสถียรภาพด้านราคา ข้าวของสินค้าและบริการแพงขึ้น ความคาดหวังเงินเฟ้อที่สูงขึ้นก็จะทำให้เงินเฟ้อจริงสูงขึ้นเป็นระยะเวลานาน และทำให้เศรษฐกิจถดถอยในที่สุด
ในบทความฉบับนี้เราจะวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ และนัยของการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด (hawkish tone) ของ Fed และมุมมองของเราต่อสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ โดยมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
ภายหลังการอัดฉีดสภาพคล่อง และการดำเนินมาตรการเยียวยาต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง เม็ดเงินจำนวนมากในระบบส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนธันวาคม 2021 (ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดอัตราเงินเฟ้อที่สำคัญ) พุ่งสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 7.1% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดตั้งแต่ช่วงปี 1980 และ FED ได้ส่งสัญญาณ hawkish เป็นลำดับ เช่น
เรามองว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯ แสดงลักษณะของการจ้างงานเต็มที่ (full employment) กล่าวคือ มีตำแหน่งงานว่างค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับจำนวนคนว่างงาน และอัตราค่าแรงที่เร่งตัวสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงคาดว่า FED
(1) จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม และพฤษภาคม 2565
(2) เริ่มลดขนาดงบดุลตั้งแต่มิถุนายน ถึงกันยายน 2565 และ
(3) ขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 โดยเราเชื่อว่า FED จะดำเนินนโยบายตามข้อมูลสนับสนุนล่าสุดในการประชุมแต่ละครั้ง ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะยังส่งสัญญาณถึงความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ทำให้เรามองว่าการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 4 ครั้งก็สามารถเกิดขึ้นได้
ในการดำเนินนโยบายแบบ hawkish ที่ผ่านมา (เช่น การลดขนาดวงเงินซื้อสินทรัพย์ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และการลดขนาดงบดุล FED ได้ทยอยทำนโยบายดังกล่าว โดยมีระยะเวลาระหว่างนโยบายต่าง ๆ ห่างกันหลายปี ซึ่งทำให้ FED มีเวลาพิจารณาข้อมูลประกอบ และประเมินการตอบสนองของตลาดได้ดี อย่างไรก็ดี ในปี 2022 การส่งสัญญาณของ FED ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย หลังจากการลดขนาดวงเงินเข้าซื้อสินทรัพย์ จนถึงการลดขนาดงบดุลภายในปีเดียวกัน น่าจะเป็นความท้าทายอย่างมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงใน 2 ลักษณะ ดังนี้
Figure 1 กราฟแสดงค่าแรงที่เร่งตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อมูลสนับสนุนอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ น่าจะอยู่ในภาวะการจ้างงานเต็มที่
Figure 2 กราฟแสดงให้เห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่จะส่งเสริมการจ้างงาน และเสถียรภาพด้านราคา ซึ่ง FED มองไว้ที่ระดับ 2.5% แต่ตลาดยังคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่ต่ำกว่า ทำให้เรามองว่าตลาดอาจยังไม่ได้นำปัจจัยรอบด้านเข้าไปประกอบการพิจารณา (price-in)
Figure 3 ตารางแสดงสถานการณ์ในปี 2022 ที่แตกต่างจากปีอื่น ๆ ค่อนข้างมาก โดยเรามองว่าเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างร้อนแรงกว่าครั้งก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ปัจจัยแวดล้อมชี้ให้เห็นว่า อาจเข้าสู่ช่วงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจ และราคาหุ้นถือว่าค่อนข้างสูงแล้ว
เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้น และนักลงทุนควรแสวงหาโอกาสในการลงทุน เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายแบบ hawkish น่าจะกดดันผลตอบแทนของตลาดหุ้นได้บ้าง กอปรกับปัจจุบันระดับมูลค่าของหุ้นถือว่าอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการปรับฐานมีมากขึ้น เมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย หรือดำเนินนโยบาย hawkish ที่แรงและเร็วกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ดี หุ้นก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่เราให้ความสนใจ
สำหรับตลาดหุ้นในภูมิภาคต่าง ๆ เราชอบหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากผลตอบแทนยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง แต่อาจจะถูกกดดันด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี นอกจากนั้น เรายังชอบหุ้นในภูมิภาคยุโรป และญี่ปุ่น ที่ไม่ได้รับแรงกดดันจาก FED โดยตรง และยังคงมีผลประกอบการดี
สำหรับตลาดตราสารหนี้ เราแนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังเกี่ยวกับตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาไถ่ถอนนาน โดยเราชอบตราสารหนี้ (หุ้นกู้) บริษัทที่มีพื้นฐานดี และตราสารหนี้สกุลเงินสหรัฐฯ ที่น่าจะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
มุมมองโดยสรุป
เนื้อหาต้นฉบับโดย
Melissa Mayorga
Michael Kerwin
Senior Research AnalystFranklin Templeton Investment Solutions
Miles Sampson, CFA
ข้อสงวนสิทธิ์
แหล่งข้อมูล
https://www.franklintempleton.com/articles/blogs/the-fed-walking-a-tightrope-in-2022
Advance, Article, FINNOMENA Franklin Templeton, Knowledge, Long Content