Dollar Index คือดัชนีที่ใช้วัดทิศทางของสกุลเงินดอลลาร์ โดยมีการเปรียบเทียบแบบถ่วงน้ำหนักกับเงิน 6 สกุลหลักได้แก่ ยูโร (ยุโรป) เยน (ญี่ปุ่น) ปอนด์ (อังกฤษ) แคนาดาดอลลาร์ โครนา (สวีเดน) และฟรังค์ (สวิสเซอร์แลนด์) ซึ่งที่ผ่านมาค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่ และทองคำพักฐาน

ในสัปดาห์นี้จากการประชุม Investment Team ของทางฟินโนมีนา ได้เห็นปัจจัยสำคัญต่อภาวะการลงทุน โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของยุโรป และญี่ปุ่น ดังนี้

1. ทิศทางค่าเงินดอลลาร์

The Key Factors: สัปดาห์สำคัญ!!!

ที่มา: Investing.com

หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่องมากว่า 5 เดือน จนถึงเมื่อวันศุกร์ที่ 20 ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้แสดงความไม่พอใจต่อการแข็งค่ามากเกินไปของสกุลเงินดังกล่าว เนื่องจากมองว่าการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์นั้นขัดต่อแนวทางการขึ้นภาษีการค้าของตน ที่ทำให้คู่ค้าที่เกินดุลสหรัฐฯ อยู่นั้นยังสามารถรักษาดุลการค้าได้บางส่วนจากค่าเงินที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ Dollar Index อ่อนค่าลง มาที่ระดับต่ำกว่า 95 จุด

2. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น

The Key Factors: สัปดาห์สำคัญ!!!

ที่มา: Investing.com

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 0.036% มาที่ระดับ 0.084% ใน 1 วัน ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น 2% และตลาด Nikkei ติดลบ 1.29% ภายในวัน ซึ่งเกิดจากการคาดการณ์ท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่น ที่มองว่าอาจมีการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว ทำให้สภาพคล่องที่เคยอัดฉีดในระบบมานานกว่า 8 ปีอาจลดลงได้

หาก BOJ ตัดสินใจลดการกระตุ้นทางการเงินในการประชุมที่จะมาถึง จะส่งผลให้เงินเยนแข็งค่า และทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัว ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อตลาดเกิดใหม่ และราคาทองคำ

3. ผลประกอบการกลุ่มบริษัท FAANG

The Key Factors: สัปดาห์สำคัญ!!!

ที่มา: Bloomberg

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงความเป็นผู้นำในตลาดโลกอยู่ ด้วยการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากกลุ่ม FAANG อันประกอบไปด้วย Facebook, Amazon, Apple, Netflix และ Google ซึ่งมีความคาดหวังในอัตราการเติบโตของกำไรที่สูง เมื่อถึงฤดูกาลการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ในช่วงปลายเดือนกรกฏาคม ถึงเดือนสิงหาคมนี้

โดยล่าสุดมีการประกาศการออกมาแล้วในบริษัท Google ที่ผลประกอบการยังเติบโตดีกว่าคาด แต่ Facebook แม้จะมีผลประกอบการดีตามคาด แต่ทางบริษัทได้ออกมาคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของรายได้ในอนาคตที่ลดลง รวมถึงจำนวน user ที่ลดลงอันผลมาจากมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของกลุ่ม user ในยุโรป รวมถึงผลกระทบเรื่องข้อมูลรั่วไหล 80 ล้านบัญชีในสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาลดลงถึง 20% หลังตลาดปิด ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ว่าผลประกอบการของบริษัทที่เหลือจะเป็นไปได้ตามคาดหรือไม่ และจะผลักดันตลาดไปในทิศทางใด

และ The Key Factors ที่สำคัญที่จะต้องติดตามในสัปดาห์หน้า ได้แก่

1. การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น ทราบผล อังคาร 31 ก.ค. นี้ โดยตลาดคาดว่า BOJ จะทำการปรับเพิ่มเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีให้สูงขึ้น

2. การประชุม FED ทราบผลคืนวันพุธที่  1 ส.ค. นี้โดยตลาดคาดว่า FED จะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยใด ๆ ในการประชุมครั้งนี้

3. ผลประกอบการหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ APPLE (ประกาศหลังตลาดปิดคืนวันอังคาร 31 ก.ค.) นอกจากนี้ยังมี Tesla, P&G และ Pfizer

4. การประชุมธนาคารกลาง UK ทราบผลวัน พฤหัสที่ 2 ส.ค. โดยตลาดคาดว่า BOE จะประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25%

5. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่จะประกาศวันศุกร์ที่ 3 ส.ค. โดยตลาดคาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรจะอยู่ที่ 190,000 ตำแหน่ง

สุดท้ายแล้ว ทิศทางการเงินโลกจะเป็นเช่นไร คงต้องติดตามกันต่อไป ถึงท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่จะมีการประชุมในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ ผลประกอบการกลุ่ม FAANG และท่าทีของทรัมป์ต่อไป

ทั้งหมดนี้ก็เป็น The Key Factors รายงานจาก FINNOMENA Investment Team ที่นำมาฝากทุกท่านประกอบการตัดสินใจลงทุนในวันนี้ ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ

FINNOMENA Investment Team
รายงาน

TSF2024