เมื่อคืนนี้ (วันที่ 19 พ.ค. 63) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นได้เฉลี่ย +3% ซึ่งหากมองจากประเด็นบนสื่อหลักจะพบว่ามี 2 ประเด็นคือ
- Moderna Inc ซึ่งเป็นบริษัทในธุรกิจไบโอเทคของสหรัฐฯ แถลงเมื่อวาน ผลการทดลองทางคลินิกในการฉีดวัคซีนต้านไวรัส Covid-19 มีชื่อว่า mRNA-1273 กับกลุ่มผู้ทดลองจำนวน 45 คน ซึ่งผลที่ได้พบว่ามีความปลอดภัย และตอบสนองได้ดีในการทดลองในช่วงแรก
- นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ให้สัมภาษณ์ในรายการ “60 Minutes” กับทาง CBS ว่า หากตั้งสมมติฐานว่า Covid-19 จะไม่แพร่ระบาดรอบสอง ส่วนตัวแล้วเขาเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ส่วนการที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่นั้น อาจต้องใช้เวลาจนถึงสิ้นปี 2021 อีกทั้งยังกล่าวยืนยันว่า “เฟดสามารถอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดการเงินอย่างไม่จำกัด เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาด”
ถ้อยคำสัมภาษณ์ที่เป็น Key Message ที่ตลาดสนใจก็คือ เฟดยังพร้อมใช้มาตรการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบในอนาคต สิ่งนี้จึงทำให้มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นต่อเนื่องเมื่อคืน
รูปที่ 1 ผลประกอบการแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมในดัชนี Nasdaq I Source : Bloomberg as of 19/5/2020
ซึ่งเมื่อรวมกับการผ่านช่วงทยอยประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมาแล้ว เราจะพบว่าหุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะกลุ่ม Cloud Services ที่ส่วนใหญ่มีผลประกอบการดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ นอกจากนี้นักวิเคราะห์เริ่มปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทกลุ่มนี้ขึ้น หลังจากปรับลดลงมาในช่วงที่เชื้อไวรัสมีการแพร่ระบาด ทำให้ได้เห็นว่าเป็นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อาทิเช่น
Salesforce
บริษัท Cloud-Based Software เกี่ยวกับ CRM ซึ่งรายได้ของไตรมาสล่าสุดขยายตัว และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แม้กำไรอาจลดลงแต่ก็ยังสูงกว่าคาดการณ์เช่นเดียวกับรายได้
รูปที่ 2 ผลประกอบการแต่ละไตรมาสของบริษัท Salesforce I Source : Investing.com as of 19/5/2020
Workday
บริษัท Software สำหรับจัดการการเงิน ทรัพยากรบุคคล และการวางแผน ซึ่งทั้งรายได้และกำไรขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน (YoY) อีกทั้งยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่คาดการณ์สำหรับไตรมาสหน้ายังเพิ่มขึ้นจากทั้งช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า
รูปที่ 3 ผลประกอบการแต่ละไตรมาสของบริษัท Workday I Source : Investing.com as of 19/5/2020
ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น FINNOMENA Investment Team มองว่า ตลาดมองข้ามปัจจัยพื้นฐานที่แย่ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 โดยมองว่า จะเกิดการฟื้นตัวแบบ V Shape ขึ้นได้หากกลับมาเปิดเมือง ซึ่งได้เสียงสนับสนุนจากความเห็นของประธานเฟด ที่เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
มุมมองทางเทคนิค (Technical Analysis)
กราฟของดัชนี S&P 500 รายวัน (Daily Chart) ดัชนีสามารถผ่านขึ้นมาเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน ซึ่งตรงกับ เส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 สัปดาห์ และ Fibonacci Retracement 61.80% ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญ (Golden Ratio) ทำให้มีแนวโน้มที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้อีก
รูปที่ 4 กราฟดัชนี S&P 500 (TF Day) I Source : Tradingview as of 19/5/2020
ขณะที่ดัชนี NASDAQ ซึ่ง Outperform และเป็นตัวนำดัชนีอื่น ๆ ขึ้นมาในรอบนี้ สามารถผ่านแนวต้าน Fibonacci Retracement 61.80% ขึ้นมาได้ก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย. 63
รูปที่ 5 กราฟดัชนี NASDAQ (TF Day) I Source : Tradingview as of 19/5/2020
เป้าระยะสั้นของการขึ้นรอบต่อไป ของดัชนี S&P 500 คือ 3,138 จุด หรือ คิดเป็น Upside Potential ราว ๆ 6% จากราคาปิดเมื่อคืน
ด้านดัชนี NASDAQ เล็งขึ้นปิด Gap ที่ระดับ 9,576 จุด หรือ Upside Potential ประมาณ 3.6% หากผ่านได้ เล็งทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 9,817 จุด หรือประมาณ 6% จากราคาปิดเมื่อคืน
FINNOMENA Tactical Call :
เราแนะนำเข้าลงทุนเก็งกำไร เน้นรอบระยะสั้นไม่เกิน 3 เดือน ในกองทุน ONE-UGG-RA และ KF-GTECH
นักลงทุนที่เหมาะกับ Tactical Call นี้
- เป็นนักลงทุนที่มีเงินสด หรือสภาพคล่องส่วนเกิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าสะสมในจังหวะที่สมเหตุสมผล
- นักลงทุนที่รับความผันผวนได้ คาดหวังผลกำไร 9%-20%
- นักลงทุนต้องยอมรับการ Limit Loss หรือ การตัดขาดทุนได้ทัน ในกรณีที่ NAV ลงมา ณ จุด Stop Loss > 5% จากต้นทุน
รายละเอียดกองทุน ONE-UGG-RA และ KF-GTECH
กองทุน ONE-UGG-RA เป็นกองทุนหุ้นทั่วโลก ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นทั่วโลก ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มุ่งสร้างผลตอบแทนภายในระยะเวลา 5-10 ปี เป็นกองทุน Active บริหารเชิงรุก ไม่ได้อ้างอิงดัชนีใด ๆ โดยกองทุนจะคัดเลือกบริษัทแบบ Bottom-Up ดูว่าบริษัทไหนมีศักยภาพในการเติบโตด้านรายได้ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ก็จะลงทุนในบริษัทนั้น ๆ ซึ่งปัจจุบันนั้น Baillie Gifford มีมุมมองว่ากลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตสูง ส่งผลให้มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีโดยตรง และ หุ้นที่เกี่ยวข้อง มากถึง 76.51%
ขณะที่กองทุน KF-GTECH นั้นจะมีความคล้ายคลึงกับกองทุน ONE-UGG-RA ในแง่ของการเป็นกองทุนหุ้นทั่วโลกเช่นเดียวกัน แต่มีความแตกต่างอย่างชัดเจนคือนโยบายการลงทุนที่ T-Rowe Price ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ KF-GTECH นั้น จะมีนโยบายการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น ทำให้มีน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีใกล้เคียง 100% เต็ม
รูปที่ 6 ผลการดำเนินงานกองทุน ONE-UGG-RA, KF-GTECH และ TMBGQG I Source : FINNOMENA.com as of 19/5/2020
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานั้น ทั้งกองทุน ONE-UGG-RA และ กองทุน KF-GTECH สามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะ Nasdaq ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี จดทะเบียนซื้อขายมากที่สุดในโลกได้ทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง จากการเลือกลงทุนแบบ Bottom Up ในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง และปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ
รูปที่ 7 ผลการดำเนินงานกองทุนหลักของกองทุน ONE-UGG-RA และ KF-GTECH เทียบ NASDAQ TR USD I Source : Morningstar as of 19/5/2020
FINNOMENA Investment Team
สำหรับลูกค้าปัจจุบันของ FINNOMENA เข้าสู่แอปเพื่อสร้างแผน DIY และซื้อขายได้ทันที ส่วนผู้ที่ยังไม่มีบัญชีซื้อขายกับ FINNOMENA >>คลิกที่นี่<< เพื่ออ่านวิธีการเปิดบัญชีภายใน 1 วัน
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน