สนใจรับคำแนะนำการลงทุน Monthly Port Strategy เพิ่มเติมจาก Investment Advisor
>>คลิกที่นี่<<
เริ่มต้นเดือนมกราคมด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องจากปลายปี 2020 พร้อมความไม่แน่นอนจาก 2 ปัจจัยหลัก ประกอบไปด้วยการเลือกตั้ง สว. รัฐจอร์เจียที่เป็นปัจจัยกำหนดคะแนนเสียงในรัฐสภาสหรัฐฯ อีกปัจจัยเกิดขึ้นกับกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีจีนซึ่งโดนสอบสวนจากทางการจีน อีกทั้งหน่วยงานสหรัฐฯ ก็กลับมากดดันด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการแบนแอปพลิเคชั่นหรือนำหุ้นออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับในเชิงบวกจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้น นอกจากนี้ยังรับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการใช้วัคซีน โดยสถิติย้อนหลังชี้ว่าหลังการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี ตลาดการเงินจะตอบรับในเชิงบวก
จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น FINNOMENA Investment Team ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นโดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน นอกจากนั้นแล้วยังมีมุมมองว่าหุ้นในกลุ่ม Real Sector เช่น การเงิน พลังงาน จะรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่สร้างความกังวลต่อตลาดการเงินเป็นระยะ ดังนั้นจึงยังคงแนะนำแแบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์การเงินอื่น เช่น ทองคำ ตราสารหนี้ และ REITs เพื่อรับผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าวต่อพอร์ตการลงทุนโดยรวม
Blue Sweep? Democrat คว้าเก้าอี้ สว. รัฐจอร์เจีย
ก่อนหน้านี้นายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นที่เรียบร้อย เช่นเดียวกับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรที่ตกเป็นของพรรคเดโมแครต ด้านที่นั่งในวุฒิสภายังเป็นประเด็นที่ตลาดยังรอการเลือกตั้ง 2 ที่นั่ง ที่รัฐจอร์เจีย ซึ่งพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง สว 2 ตำแหน่ง ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ซึ่งทำให้พรรคเดโมแครตครองที่นั่งในวุฒิสภา 48 ที่นั่ง พรรครีพับลิกันครอง 50 ที่นั่ง ส่วนอีก 2 ที่นั่งตกเป็นของผู้สมัครอิสระ
รูปที่ 1 จำนวนคะแนนเสียง และที่นั่ง สว. และ สส. ในรัฐสภาสหรัฐฯ I Source : BBC as of 6/1/2021
ซึ่งเป็น 2 เสียงที่มีนัยยะต่อการผ่านร่างนโยบายในอนาคต โดยคนแรก คือนายเบอร์นี่ แซนเดอร์ส อดีตผู้สมัครตัวแทนเข้าท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต ส่วนอีกคน คือนายแองกัส คิง ซึ่งหลายครั้งเห็นด้วยกับนโยบายของพรรคเดโมแครตและหลายครั้งก็เห็นด้วยกับนโยบายของพรรครีพับลิกัน เช่น เมื่อปี 2014 นายแองกัส คิง เห็นด้วยกับพรรครีพับลิกันในการค้านนโยบายขึ้นภาษี
โดยการที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาเช่นนี้ จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มวัฏจักร เช่น ธนาคาร พลังงาน อสังหาฯ รวมไปถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดอย่างบริโภค ขนส่ง และท่องเที่ยว เนื่องจากตลาดคาดหวังการผ่านร่างมาตรการกระตุ้นที่มีขนาดใหญ่และรวดเร็วขึ้น ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะได้รับแรงกดดันจากประเด็นการขึ้นภาษี และกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาด
หลังรับตำแหน่งตลาดมักตอบรับเชิงบวกต่อเนื่อง
รูปที่ 2 สถิติผลตอบแทนดัชนี S&P500 200 วันทำการ ในปีเลือกตั้งระหว่างปี 2000-2020 I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
จากรูปที่ ข้อมูลตลาดในปีเลือกตั้งนับตั้งแต่ปี 2000 พบว่าโดยส่วนใหญ่ตลาดมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในช่วง 40-60 วันทำการแรกหลังการเลือกตั้ง ซึ่งในครั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเช่นเดียวกับอดีต จากนั้นตลาดมักจะพักฐานและปรับตัวขึ้นอีกครั้งอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ 100 วันทำการขึ้นไป ส่วนช่วงมกราคมซึ่งเป็นช่วงเวลา 40-60 วันทำการหลังการเลือกตั้ง ผลตอบแทนของตลาดหุ้น S&P 500 ยังคงวิ่งในกรอบที่ยังคงไร้ทิศทางหรืออาจปรับตัวขึ้นเล็กน้อย
รูปที่ 3 สถิติผลตอบแทนดัชนี S&P500 100 วันทำการ หลังประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่งระหว่างปี 2000-2020 I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
จากสถิติย้อนหลัง 20 ปีที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิปดีของสหรัฐฯ รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ผลตอบแทนของตลาดหุ้น S&P 500 ใน 100 วัน ให้ผลตอบแทน 1.19 % ส่วนปีที่ไม่มีการเลือกตั้งที่ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 1.04% ถือว่าไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ
ความไม่แน่นอนเป็นของคู่กับสภาพคล่อง
รูปที่ 4 Fed Balance sheet I Source : Bloomberg as of 29/12/2020
แม้วัคซีนไวรัส COVID-19 จะเริ่มนำมาใช้ในหลายประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลายในทันที ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ยังไม่ลดลง ระยะเวลาที่ต้องใช้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน โดยผลกระทบต่อภาคการจ้างงานเป็นประเด็นหลักที่ผู้ออกนโยบายทางเศรษฐกิจต้องติดตามเป็นพิเศษ ดังนั้นตลาดจึงคาดว่าเมื่อนายโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปลายเดือนมกราคมนี้ จะมีมาตรการทางการคลังออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนนโยบายการเงินจะยังคงผ่อนคลายต่อไปตลอดปี 2021 ไม่ว่าจะเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0% และการอัดฉีดสภาพคล่องด้วยมาตรการ QE จนล่าสุด Fed Balance sheet สามารถกลับมาทำ All-time high ได้ทุกสัปดาห์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 8 ล้านล้านดอลลาร์ได้ในปีนี้
บริษัทจีนกลับมาอยู่ในกระแส และคือ โอกาสสะสมระยะยาว
รูปที่ 5 โครงสร้างธุรกิจของ Alibaba, Ant Group และ Tencent I Source : Bloomberg as of 28/12/2020
เริ่มต้นเดือนแรกของปีด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหุ้นเทคโนโลยีจีน โดย Alibaba รับแรงกดดันทั้งจากทางการจีนในกรณีพฤติกรรมการผูกขาดตลาด และการระงับ IPO ของบริษัท Ant Group พร้อมถูกสอบสวนจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของจีน นอกจากนี้ยังคำสั่งแบน 8 แอพสัญชาติจีน อีกทั้งมีรายงานว่าหน่วยงานทางฝั่งสหรัฐฯ กำลังพิจารณาไม่ให้นักลงทุนอเมริกันซื้อหุ้น Alibaba และ Tencent ดังนั้นทั้งสองปัจจัยที่กล่าวมาได้กดดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน
อย่างไรก็ตาม FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่าแรงกดดันดังกล่าวจะยังคงมีต่อไปในระยะสั้น ซึ่งในทางกลับกันการที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาก็เป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นเทคโนโลยีจีน เนื่องจากประเทศจีนยังต้องการบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เพื่อขยายตลาดระดับโลก อีกทั้งเป็นไปได้ยากที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งหากเปลี่ยนแปลงได้ก็จะกระทบในเชิงลบต่อยุทธศาสตร์ในระดับโลกของประเทศจีน
รูปที่ 6 ดัชนี Li Keqiang และดัชนีอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของประเทศจีน I Source : Bloomberg as of 7/1/2021
ในส่วนเศรษฐกิจจีนได้กลับมาสู่แดนขยายตัวของเศรษฐกิจตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาหนุนด้วยเม็ดเงินลงทุนและการกระตุ้นจากภาครัฐ จะหนุนภาคแรงงานและบริโภคในประเทศในช่วงเวลาต่อจากนี้ ขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยหลักที่จะหนุนรายได้และกำไรของบริษัทให้กลับมาเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านดัชนี Li Keqiang ที่กลับมาขยายตัวอีกครั้ง อีกปัจจัยที่ส่งแรงหนุนต่อการขยายตัว ก็คืออัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ไม่สร้างแรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ย
แม้สถานการณ์จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังเน้นการสร้างเสถียรภาพต่อภาคการเงินโดยเฉพาะปัญหาหนี้ภาคเอกชน และนักวิเคราะห์ต่างคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ส่วนนโยบายทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปหลังการประชุมคณะผู้แทนสภาแห่งชาติเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนซึ่งเริ่มด้นด้วยการไม่กำหนดเป้าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศที่ยังตามหลังระดับโลกอยู่โดยเฉพาะอุตสาหกรรม Semiconductor
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) กำลังหนุนกลุ่มตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัว
รูปที่ 7 ดัชนี Bloomberg Commodity, MSCI EM และราคาน้ำมันดิบ WTI I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาจนถึงช่วงเวลาที่ COVID-19 แพร่ระบาด ตลาดหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ถูกกดดันด้วยสงครามการค้า อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง อัตราดอกเบี้ยที่สูง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ซบเซา แต่หากย้อนเวลาไปอีกจะพบว่าตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Markets ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นตั้งแต่กลางปี 2016 ถึงปลายปี 2017 ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) หลังเศรษฐกิจทั่วโลกชะงักไปเนื่องจากเหตุการณ์ Hard landing และฟองสบู่ในเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของประเทศจีน
รูปที่ 8 สัดส่วนสินค้าส่งออกของประเทศจีนและบราซิล I Source : oec.world as of 6/1/2021
และนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกกลับมาเริ่มวัฏจักรเศรษฐกิจอีกรอบ และทุกครั้งที่เศรษฐกิจเริ่มวัฏจักรอีกครั้ง การบริโภคเริ่มฟื้นตัวหนุนภาคการผลิตซึ่งต้องการวัตถุดิบ เช่น แร่ ปิโตรเลียม โลหะอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตร ทำให้การค้าระหว่างประเทศฟื้นตัวไปด้วย ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวต่อเนื่องในเดือนมกราคมจะกลับมาช่วยหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดการเงินและค่าเงินของกลุ่มประเทศ Emerging markets
Fed ตัดสินใจเข้าร่วมเครือข่ายลดโลกร้อนจากภาคการเงิน หนุนธีม ESG
รูปที่ 9 ระดับการบังคับใช้การลดการปล่อยคาร์บอนของแต่ละประเทศทั่วโลก I Source : Bloomberg as of 26/12/2020
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เปิดเผยว่าได้ตกลงเข้าร่วม Network of Central Banks and Supervisors for Greening the Financial System หรือ NGFS ในแถลงการณ์การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่ง NGFS เป็นเครือข่าย 75 ธนาคารกลางที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนงานวิจัย วิธีการบริหารความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสภาวะอากาศ (Climate Risk)
โดยเครือข่าย NGFS กำหนดให้ชาติสมาชิกต้องเข้าร่วม Paris Climate Accord ซึ่งก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้นำสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงดังกล่าว อย่างไรก็ตามนายโจ ไบเดน ให้คำมั่นว่าจะเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวอีกครั้ง ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกก้าวหนึ่งที่หนุนกระแสการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน
นักวิเคราะห์คาดเทคฯ ยังโตต่อ ส่วนไฟแนนซ์เจอจุดต่ำสุดแล้ว
แม้สถานการณ์ไวรัส COVID-19 ยังไม่คลี่คลาย แต่ตลาดการเงินเจอกับจุดเปลี่ยนนับตั้งแต่ข่าวการมาของวัคซีน และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง ทำให้ตลาดการเงินคาดหวังมาตรการการคลังที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2021
รูปที่ 10 คาดการณ์รายได้และกำไรไตรมาสที่ 4 I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
นักวิเคราะห์คาดว่ารายได้และกำไรของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยียังเติบโต (YoY) ในไตรมาสที่ 4 ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Servicenow, Facebook ส่วนหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคแม้บางบริษัทยังถูกคาดการณ์ว่าจะยังหดตัวอยู่ แต่ฟื้นตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว เช่น Visa
รูปที่ 11 คาดการณ์รายได้และกำไรไตรมาสที่ 4 ของ Amazon I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
Amazon ได้รับผลเชิงบวกจาก COVID-19 เช่น Cloud Solutions และ E-Commerce โดยตลอดปีนักวิเคราะห์ปรับประมาณการรายได้ของ Amazon เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงหลังไตรมาส 2 รัฐบาลของสหรัฐฯ มีการประกาศยกเลิกการ Lockdown ซึ่งส่งผลกระทบต่อมุมมองการเติบโตของ Amazon อย่างไรก็ตามเมื่อสหรัฐฯ เผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกครั้ง ทำให้ Amazon ยังคงได้รับประโยชน์ต่อไป
รูปที่ 12 คาดการณ์รายได้และกำไรไตรมาสที่ 4 ของ Visa I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
Visa เป็นหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในพอร์ตของ KFGBRAND ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ส่งผลให้รายได้ในช่วงไตรมาส 1 และ 2 หดตัวที่ 17.2% (YoY) และ 16.9% (YoY) ตามลำดับ เนื่องจากรายได้จากการทำธุรกรรมการเงินในต่างประเทศหดตัวประมาณ 80% ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้ทั้งหมด แม้ว่าจะมีการเปิดการเดินทางข้ามประเทศในเวลาต่อมา แต่รายได้ยังคงหดตัวถึง 60% ในไตรมาสที่ 3 อย่างไรก็ดี ธุรกิจอื่น เช่น การโอนเงินจากธุรกิจไปยังอีกธุรกิจหรือธุรกิจไปยังลูกค้า มีเเนวโน้มเติบโตได้ดีรับประโยชน์จากการที่ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการใช้เงินสด และเน้นการซื้อของออนไลน์สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของ E-commerce และจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกหนุนให้รายได้ของบริษัทฟื้นตัวต่อเนื่อง
รูปที่ 13 คาดการณ์รายได้และกำไรไตรมาสที่ 4 I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้และกำไรของกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ยังหดตัวในไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตามคาดการณ์รายได้และกำไรจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสหน้าเป็นต้นไป สะท้อนจุดต่ำสุดของรายได้และกำไรของกลุ่มการเงิน ส่วนคาดการณ์รายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีนยังขยายตัวแม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากทั้งจากทางการสหรัฐฯ และจีน
รูปที่ 14 คาดการณ์รายได้และกำไรไตรมาสที่ 4 ของ Bank of America I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
Bank of America มีรายได้ที่หดตัวมานับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2019 โดยนักวิเคราะห์คาดไตรมาส 4 รายได้แตะระดับต่ำที่สุด และฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีแรก 2021 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากการใช้วัคซีน และมาตรการการคลังจากภาครัฐ ปัจจัยดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นการเติบโตของสินเชื่อ และทำให้การผิดนัดชำระหนี้กลับมาในระดับปกติอีกครั้ง ลดความกังวลจากประเด็นดังกล่าว
รูปที่ 15 คาดการณ์รายได้และกำไรไตรมาสที่ 4 ของ Alibaba I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
Alibaba ถูกกดดันหลังจาก Ant Group ถูกระงับ IPO นอกจากนี้ยังถูกทางการจีนสอบสวนพฤติกรรมการผูกขาดตลาด โดยธุรกิจของ Ant Group ถือเป็น “Growth Engine” ของ Alibaba ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Alibaba Group ปรับตัวลงมากกว่า 30% จากจุดสูงสุดในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา Finnomena Investment Team มีมุมมองว่าเป็นปัจจัยชั่วคราวและยังไม่สามารถเปลี่ยนเเปลงปัจจัยพื้นฐานของหุ้น Alibaba และมองว่าทางการจีนจะไม่ใช้มาตรการรุนแรงจนทำให้ Alibaba สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากเเผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีนที่เน้นการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศยังคงต้องพึ่งพาธุรกิจ internet platform และ Innovation ของ Alibaba
REITs ไทยรับแรงกดดันการแพร่ระบาด แต่การปันผลน่าสนใจ
รูปที่ 16 ดัชนี SETPREIT และส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Yield Spread) I Source : Bloomberg as of 6/1/2021
ปัจจัยความไม่แน่นอนกลับมาสู่กองทุนอสังหาฯ และ REITs ไทยอีกครั้ง หลังการระบาดของ COVID-19 อีกระลอก โดยครั้งนี้แม้จะยังไม่มีมาตรการ Lockdown อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งความไม่แน่นอนและความกังวลต่อการติดเชื้อส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนทั้งในแง่ของรายได้และการจ่ายเพื่อบริโภค ดังนั้นจึงเป็นแรงกดดันต่อรายได้จากการเก็บค่าเช่าของภาคค้าปลีกอีกครั้ง ซึ่งความไม่แน่นอนที่กล่าวมายังต้องติดตามทั้งมาตรการจากภาครัฐและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จะคลี่คลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งหลายฝ่ายมีประสบการณ์รับมือเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ประเด็นดังกล่าวจึงเป็นความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นชั่วคราวในระยะสั้น ซึ่งการปรับตัวลงของดัชนี SETPREIT เป็นจังหวะให้ทยอยสะสม และเมื่อพิจารณาจากส่วนต่างอัตราผลการจ่ายปันผลที่ 4.34% แล้วมีความน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นที่มีลักษณะจ่ายปันผล เช่น ตราสารหนี้ หุ้นปันผล
โมเดลคาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีสินทรัพย์ทั่วโลก
ในกราฟประกอบด้วย
- จุดสีดำ = ราคาปิดรายวันของสินทรัพย์
- เส้นน้ำเงินเข้ม = เส้นการทำนายของโมเดล
- เส้นน้ำเงินอ่อน = แสดงกรอบความผันผวนของราคาในอนาคต
*หมายเหตุ
ระยะเวลาที่แสดงในกราฟอาจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของข้อมูลและอายุของสินทรัพย์นั้น
Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในอีก 1 ปีข้างหน้านับจากเดือนธันวาคมปี 2020 ถึงสิ้นปี 2021
รูปที่ 17 แนวโน้มดัชนี S&P500 ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี CSI300 ของประเทศจีน Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอีก 1 ปีและมีโอกาสทำ High สูงกว่าช่วงปี 2015 ได้อีกด้วย
รูปที่ 18 แนวโน้มดัชนี CSI300 ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี STOXX600 ของยุโรป Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้ม Sideway ต่อไปอีก 1 ปี
รูปที่ 19 แนวโน้มดัชนี STOXX600 ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี iShares MSCI Emerging Markets ของกลุ่ม Emerging Markets Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้ม Sideway ต่อไปอีก 1 ปีเช่นเดียวกับดัชนียุโรป
รูปที่ 20 แนวโน้มดัชนี MSCI Emerging Markets ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี iShares MSCI Asia ex Japan Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้ม Sideway ต่อไปอีก 1 ปีเช่นเดียวกับดัชนียุโรป
รูปที่ 21 แนวโน้มดัชนี MSCI Asia ex Japan ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี SETTRI (SET Total Return Index) Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2021
รูปที่ 22 แนวโน้มดัชนี SETTRI ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี LEGATRUU Index – global bond / Bloomberg Barclays Global Aggregate Index. Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี
รูปที่ 23 แนวโน้มดัชนี global bond ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี SPDR Gold Index. Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องไปก่อนจะทดสอบ High เดิมได้อีกครั้งช่วงปลายปี 2021
รูปที่ 24 แนวโน้มดัชนี SPDR Gold ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี CL1 COMB Commodity – Oil Future. Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้มปรับตัว sideway ในกรอบราคา 20-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่อเนื่องไปตามกรอบการคาดการณ์เดิมของช่วงปี 2018 ถึงปัจจุบัน
รูปที่ 25 แนวโน้มดัชนี CL1 Oil Future ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี SETPREIT Index Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวในลักษณะ Downtrend ต่อเนื่องไปจนสิ้นปี หลังจากทำ High ได้เมื่อปลายปี 2019 ก่อนที่จะมีการปรับตัวลดลง
รูปที่ 26 แนวโน้มดัชนี SETPREIT Index ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี FSTREI Index Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้มเคลื่อนที่ในลักษณะ Sideway บริเวณช่วงราคาเฉลี่ยที่ 600 จุด ต่อเนื่องไปจนสิ้นปี แต่ขณะเดียวกันก็ยังมองกรอบความผันผวนค่อนข้างสูงโดยอยู่ในช่วง 500 ถึง 700 จุด ที่เป็นจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำได้อีกด้วย
รูปที่ 27 แนวโน้มดัชนี FSTREI Index ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี VIX Index ที่ใช้เป็นดัชนีชี้วัดด้าน Sentiment หรืออารมณ์ของผู้คนในตลาดว่าอยู่ในช่วงกล้าหรือกลัว Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวลักษณะ Sideway Up บริเวณ 20-30 จุด นับตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับกรอบการเคลื่อนไหวช่วงปี 2000
รูปที่ 28 แนวโน้มดัชนี VIX Index ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
ดัชนี BTCUSD (BITCOIN) Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีมีแนวโน้ม Uptrend ต่อเนื่อง แต่มีโอกาสย่อตัวลงมาก่อนช่วง Q1 ของปี 2021 และกลับขึ้นไปทดสอบ High ปัจจุบัน($30,000) ได้อีกครั้งช่วงปลายปี
รูปที่ 29 แนวโน้มดัชนี BTCUSD Index ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
Model คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี iShares ESG Aware MSCI USA ETF Index มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในลักษณะ Uptrend ในอีก 1 ปีข้างหน้าตลอดจนปลายปี
รูปที่ 30 แนวโน้มดัชนี iShares ESG Aware MSCI USA ETF Index ที่คาดการณ์โดย Prophet Model I Source : Finnomena.com และ https://facebook.github.io/prophet/ As of 29/12/2020
FINNOMENA Investment Team
—————————-
เปิดบัญชีซื้อกองทุนรวมกับ FINNOMENA ผ่านทางออนไลน์ เปิดไว เปิดง่าย ไม่ต้องใช้เอกสารให้ยุ่งยาก หมดปัญหาการเปิดบัญชีหลาย บลจ. ปรับเปลี่ยนกองทุนได้ทันท่วงที ทุกสถานการณ์การลงทุน เปิดครั้งเดียวซื้อ-ขายได้ 19 บลจ. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อเริ่มเปิดบัญชีได้เลย !!
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน FINNOMENA เพื่อเริ่มต้นเปิดบัญชี
Google Play Store: https://link.finnomena.com/android-download
App Store: https://link.finnomena.com/ios-download
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
