เมื่อคืนนี้ นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ชื่อว่า “American Rescue Plan” มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือภาคครัวเรือนและธุรกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19
โดยรายละเอียดของมาตรการมีดังนี้
- เพิ่มวงเงินเช็คเงินสดที่จ่ายให้ประชาชนอีกคนละ 1,400 ดอลลาร์ ทำให้เงินช่วยเหลือที่ประชาชนได้รับเพิ่มเป็นคนละ 2,000 ดอลลาร์ จากเดิมที่ 600 ดอลลาร์
- ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 7.25 ดอลลาร์/ชั่วโมง ไปที่ 15 ดอลลาร์/ชั่วโมง
- เพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้ว่างงานเป็น 400 ดอลลาร์/สัปดาห์ และให้ขยายเวลาช่วยเหลือจนถึงสิ้นเดือนกันยายน
- ให้เงินช่วยเหลือรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น จำนวน 3.5 แสนล้านดอลลาร์
- ให้เงินช่วยเหลือโรงเรียนและสถาบันการศึกษา จำนวน 1.7 แสนล้านดอลลาร์
- ให้เงินสนับสนุนการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 5 หมื่นล้านดอลลาร์
- ให้เงินช่วยเหลือในโครงการวัคซีนแห่งชาติภายใต้ความร่วมมือกับรัฐและองค์กร วงเงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์
นโยบายกระตุ้นนี้จะถูกนำเข้าสภาเพื่อรับพิจารณา โดยตลาดคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมาก แต่ต้องติดตามการพิจารณาจากวุฒิสภาเนื่องจากทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างมีคะแนนใกล้เคียงกันที่ 50-48 ที่นั่ง ส่วนอีก 2 ที่นั่ง เป็นผู้สมัครอิสระ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือนายเบอร์นี่ แซนเดอร์ อดีตผู้แข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายโจ ไบเดน การผ่านมาตรการดังกล่าวต้องมีคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างต่ำ 60 เสียง
ล่าสุดนายเจอโรม พาวเวล ออกมาเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์ว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะนี้เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ขานรับมาตรการรกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่งเปิดเผย
ภาพรวมตลาดหุ้นตอบรับในเชิงลบเล็กน้อย โดยดัชนี Dow Jones ปิดลบ 0.22% ดัชนี S&P 500 ที่ปิดลบ 0.38% เช่นเดียวกับดัชนี Nasdaq ที่ปิดลบ 0.12%
เนื่องจากตลาดกำลังให้ความสนใจมาตรการกระตุ้นขนาด 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ที่เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและแพคเกจรักษาพยาบาล ซึ่งคาดว่าจะเปิดเผยออกมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 โดยตลาดหวังว่าวงเงินของมาตรการจะสูงกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อหักล้างผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีที่อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น
FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่ามาตรการกระตุ้นที่เพิ่งเปิดเผยออกมามีผลเชิงบวกต่อธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด โดยเฉพาะกลุ่ม Cyclical เช่น การเงิน สาธารณูปโภค และบริโภค ที่ต่างปรับตัวขึ้นในตลาดเมื่อคืนนี้ ขานรับข่าวมาตรการดังกล่าว แต่การจะมีผลเชิงบวกต่อทั้งระบบเศรษฐกิจในระยะยาวนั้นต้องติดตามมาตรการวงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ที่จะเปิดเผยเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง รวมไปถึงท่าทีเพิ่มเติมจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะมีการประชุมในวันที่ 26-27 มกราคมนี้
FINNOMENA Investment Team