สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2566 โดย GDP ขยายตัว 1.9% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ระดับ 2.0-2.2% อีกทั้งยังชะลอตัวลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2565 ตามการลดลงต่อเนื่องของภาคการส่งออก รวมทั้งการลดลงของการใช้จ่ายของรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐ
ส่วน GDP ไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 1.7% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ระดับ 2.4-2.5% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการส่งออกสินค้าและบริการเร่งขึ้น การอุปโภคบริโภคของครัวเรือนยังขยายตัว ขณะที่การใช้จ่ายรัฐบาลลดลง เป็นผลจากรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการในระบบตลาด และการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ลดลง ประกอบกับการลงทุนรวมลดลง
สำหรับแนวโน้มปี 2567 สภาพัฒน์ หั่นเป้า GDP ไทยเหลือโต 2.2-2.3% จากเดิมคาดไว้ที่ 2.7-3.7% หลังภาพรวมเศรษฐกิจปีที่ผ่านมาไม่ได้สดใสอย่างที่คิด
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังในช่วงถัดไป คือมาตรการด้านการเงิน ซึ่งจะต้องเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการลดภาระภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ ในส่วนของมาตรการดอกเบี้ยที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง และทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแคบลง โดยเฉพาะในส่วนของภาคครัวเรือน และผู้ประกอบการ SME รวมถึงการใช้มาตรการผ่อนคลายในกรณีชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ ซึ่งปัจจุบันใช้อยู่ที่อัตรา 8% ของยอดชำระรวม โดยอาจพิจารณากลับไปใช้ที่ขั้นต่ำ 5% อีกสักระยะ เพื่อช่วยให้ภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการรายย่อยมีกำลังในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ถ้าดำเนินการได้เร็วก็จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปได้พอสมควร อย่างไรก็ดี ก็คงต้องขึ้นกับการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย
อ้างอิง