Highlight (คลิกเลือกหัวข้อที่สนใจได้เลย)
- ทำไมต้องลงทุนในหุ้นขนาดกลาง – เล็ก
- จุดเด่นกองทุน ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF
- ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF เหมาะกับใคร
- สัดส่วนการลงทุนและ Top 5 Holdings
- รายละเอียดกองทุน ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF
การลดหย่อนภาษีที่ดีไม่ได้เป็นเพียงแค่การลดภาระค่าใช้จ่าย แต่ยังเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกที่เพิ่มโอกาสในการเติบโตไปพร้อมกับการวางแผนลดหย่อนภาษี กองทุน ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
เนื่องจากมีกลยุทธ์คัดเลือกหุ้นที่พิถีพิถันในการคัดสรรหุ้นคุณภาพ และมีแนวโน้มเติบโตระยะยาว ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท
นักลงทุนจึงมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการเติบโตของหุ้นและการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน อีกทั้งยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนควบคู่ไปกับการลดหย่อนภาษีอย่างคุ้มค่า
ทำไมต้องลงทุนในหุ้นขนาดกลาง – เล็ก
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กนั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้วัดจากขนาดบริษัท แต่วัดจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Cap
โดยการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กนับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ ด้วยอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่มักต่ำกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้นักลงทุนมีโอกาสเข้าลงทุนในราคาที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไร
นอกจากนี้ อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ต่ำกว่า ยังสะท้อนถึงความคุ้มค่าในแง่ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ
อัตราส่วนทางการเงินของหุ้นขนาดกลางและเล็ก เทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ | Source: Asset Plus Fund Management, Bloomberg as of 7/08/2024
จุดเด่นสำคัญของหุ้นขนาดกลางและเล็กคือศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น (Earning Growth) เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีฐานรายได้และกำไรที่ยังไม่สูงมาก จึงมีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดดได้มากกว่า อีกทั้งยังสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจได้คล่องตัวและรวดเร็วกว่าบริษัทขนาดใหญ่
เมื่อพิจารณาอัตราส่วน PEG ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบราคากับอัตราการเติบโตของกำไร พบว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กมักมีค่า PEG ที่ต่ำกว่าหุ้นขนาดใหญ่ สะท้อนถึงราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโต ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF กองทุนเด่นที่คัดเลือกโดย Finnomena
กองทุนเปิด แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ ชนิดเพื่อการออม (ASP-SME-SSF) และเพื่อการเลี้ยงชีพ (ASP-SMERMF) เป็นกองทุนหุ้นไทยที่เน้นลงทุนในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมถึงการจองซื้อตั้งแต่ช่วง IPO
กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นจะเน้นที่การวิเคราะห์ตัวบริษัทแบบ Bottom-Up เพื่อเลือกหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มเติบโตระยะยาว ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องมี Market Cap ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท
โดยปรัชญาการลงทุนของ ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF เชื่อว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีศักยภาพ จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนแบบก้าวกระโดดได้มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ จากการขยายตัวของธุรกิจและการควบรวมกิจการ ประกอบกับการที่นักลงทุนสนใจน้อยจึงมี Valuation น่าสนใจ ทำให้กองทุนนี้ได้รับการคัดเลือกเป็น Finnomena Pick
จุดเด่นกองทุน ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF
กองทุน ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF มีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ผลการดำเนินงานในอดีตที่โดดเด่น โดยมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า Benchmark มาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กองทุนแบบปกติชนิดสะสมมูลค่า (ASP-SME-A) ยังได้ Overall Morningstar Rating 5 ดาว ในกลุ่ม Equity Small/ Mid-Cap (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2024) อีกด้วย ช่วยเป็นเครื่องยืนยันถึงความโดดเด่นในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็ก
อีกทั้งยังมีกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ที่มุ่งเน้นวิเคราะห์บริษัทเชิงลึกแบบรายตัว ค้นหาหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีศักยภาพเติบโตสูง
ที่สำคัญผู้จัดการกองทุน ‘น.ส. ทิพย์วดี อภิชัยสิริ’ ยังมีประสบการณ์ยาวนานในการบริหารกองทุนหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง และความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกหุ้น (Stock Selection) ที่โดดเด่น ของ บลจ. แอสเซท พลัส (Asset Plus Fund Management) ที่สะท้อนผ่านความสามารถในการบริหารกองทุนหุ้นไทยให้มีผลการดำเนินงานที่สามารถเอาชนะตลาดได้ในระยะยาว
ผลการดำเนินงานในอดีตโดดเด่น
ผลการดำเนินงานของกองทุนตั้งแต่จัดตั้ง | Source: Asset Plus Fund Management as of 30/09/2024
*คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานของกองทุน ASP-SME-SSF มีความโดดเด่นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับดัชนี SET TRI โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในเดือนสิงหาคม 2017 กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสะสมได้เฉลี่ย 9.34% ต่อปี โดยเฉพาะในช่วงหลังวิกฤต COVID-19 (หลังกุมภาพันธ์ 2020) กองทุน ASP-SME-SSF แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งและความสามารถในการดำเนินงานที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าตลาดจะมีความผันผวนในบางช่วง
กลยุทธ์คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up
กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up เป็นวิธีการลงทุนที่เน้นวิเคราะห์หุ้นรายตัว โดยไม่ได้ให้น้ำหนักกับปัจจัยมหภาคมากนัก เน้นศึกษาปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทอย่างละเอียด ทั้งในแง่ของผลประกอบการ อัตราส่วนทางการเงิน โมเดลธุรกิจ ความสามารถในการทำกำไร ส่วนแบ่งการตลาด คุณภาพของผู้บริหาร รวมถึงความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) เพื่อค้นหาบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและมีราคาที่น่าสนใจ
การลงทุนผ่านกองทุน ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF ที่ใช้กลยุทธ์ Bottom-up มีข้อดีคือผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์จากทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกหุ้นรายตัว มีเครือข่ายและทรัพยากรในการวิเคราะห์บริษัทเชิงลึก ทำให้มีโอกาสค้นพบหุ้นที่มีศักยภาพสูงแต่ยังไม่เป็นที่นิยมในตลาด (Hidden Gem) และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว
กระบวนการวิเคราะห์และแนวทางการลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่มี Market Cap ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท และมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยให้ความสำคัญกับการแสวงหาแนวทางการลงทุน (Investment Theme) ในบริษัทที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่โดดเด่น
ทั้งนี้ยังมีการวิเคราะห์เชิงลึกทั้งเสาะหาข้อมูลบริษัทแบบเชิงรุก (Proactive Company Visit) วิเคราะห์ข้อได้เปรียบและข้อเสียในการดำเนินธุรกิจ (Competitive Advantage) และวิเคราะห์อุตสาหกรรมและโมเดลธุรกิจ (Industry and Business Analysis) เพื่อให้เข้าใจธุรกิจและประเมินความเสี่ยงได้อย่างรอบด้าน
โดยก่อนตัดสินใจลงทุนจะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัท และจะซื้อเมื่อบริษัทมีการเติบโตที่โดดเด่นและสม่ำเสมอ มีราคาสมเหตุสมผลตามพื้นฐาน พร้อมทั้งบริหารความเสี่ยงจากการกระจายการลงทุน
อย่างไรก็ตาม กองทุนมีนโยบายรักษาวินัยในการขาย โดยจะขายหุ้นเมื่อราคาถึงเป้าหมาย หรือมีการเปลี่ยนแปลง (Industry, Business Model) ที่จะกระทบต่อความสามารถในการสร้างกำไร
ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการประหยัดภาษี โดยกองทุน ASP-SME-SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ (ไม่เกิน 200,000 บาท) ส่วนกองทุน ASP-SMERMF สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ (ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ)
- ผู้ที่เชื่อมั่นในการเติบโตของธุรกิจขนาดไม่เกิน 80,000 ล้านบาท เพราะกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพสูง แต่ Market Cap ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท เหมาะกับผู้ที่เชื่อว่าธุรกิจเหล่านี้มีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว
- ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้สูง เพราะเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง
- ผู้ที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ เนื่องจากกองทุน ASP-SME-SSF ต้องถือไว้อย่างน้อย 10 ปีส่วนกองทุน ASP-SMERMF ต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อยปีเว้นปีจนถึงอายุ 55 ปี และถือกองทุนไว้อย่างน้อย 5 ปี
สัดส่วนการลงทุนและ Top 5 Holdings
*ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 30/09/2024
สัดส่วนการลงทุนของ ASP-SME-SSF | Source: Asset Plus Fund Management as of 30/09/2024
สัดส่วนการลงทุนของ ASP-SMERMF | Source: Asset Plus Fund Management as of 30/09/2024
กองทุนมีการกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มการเงินและหลักทรัพย์ และอื่น ๆ
Top 5 Holdings
*ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 30/09/2024
- SISB (โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพ) ดำเนินธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ เน้นการศึกษาคุณภาพสูงตามมาตรฐานสิงคโปร์ มี 6 สาขาในประเทศไทย
- TCAP (ทุนธนชาต) เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ลงทุนในธุรกิจการเงิน ถือหุ้นในธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) เป็นหลัก ทั้งนี้ยังลงทุนในบริษัทด้านประกันและลีสซิ่งอีกด้วย
- PR9 (โรงพยาบาลพระรามเก้า) โรงพยาบาลเอกชน เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคซับซ้อน มีศูนย์การแพทย์เฉพาะทางหลายด้าน
- NEO (นีโอ คอร์ปอเรท) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภค มีแบรนด์สินค้าหลากหลาย
- TIDLOR (เงินติดล้อ) ให้บริการสินเชื่อรายย่อย เน้นสินเชื่อทะเบียนรถและสินเชื่อส่วนบุคคล มีสาขาให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
รายละเอียดอื่น ๆ ของ ASP-SME-SSF
*ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 30/09/2024
- ความเสี่ยงระดับ 6 (กองทุนรวมหุ้น)
- นโยบายการจ่ายเงินปันผล: ไม่จ่าย
- มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1 บาท
- ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee): ไม่เกิน 1.50%
- ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back-end Fee) ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า (Switching-in): ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออก (Switching-out): ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee): ไม่เกิน 1.99 % ต่อปี
รายละเอียดอื่น ๆ ของ ASP-SMERMF
*ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ณ วันที่ 30/09/2024
- ความเสี่ยงระดับ 6 (กองทุนรวมหุ้น)
- นโยบายการจ่ายเงินปันผล: ไม่จ่าย
- มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท
- ค่าธรรมเนียมขาย (Front-end Fee): ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back-end Fee) ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า (Switching-in): ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออก (Switching-out): ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee): 1.61% ต่อปี
สรุป
การลงทุนในกองทุน ASP-SME-SSF และ ASP-SMERMF เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาตัวช่วยในการลดหย่อนภาษี พร้อมสร้างโอกาสเติบโตในระยะยาว ด้วยการเน้นลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพสูง และ Market Cap ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเหล่านี้มักมีโอกาสการเติบโตสูงกว่าและมักมีมูลค่าที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ สะท้อนจากอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) และราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ต่ำกว่าหุ้นขนาดใหญ่
นอกจากนี้ กองทุนยังใช้กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ที่เข้มข้น โดยเน้นวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทอย่างละเอียด เพื่อค้นหาหุ้นคุณภาพที่มีศักยภาพเติบโตสูง ซึ่งผลการดำเนินงานของกองทุนในอดีตที่ผ่านมาได้สะท้อนประสิทธิภาพของกลยุทธ์นี้ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
อ้างอิง: Asset Plus Fund Management
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. แอสเซท พลัส โทร. 02-672-1111 | หรือที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort