ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้มีมติ “ลดอัตราดอกเบี้ย” 0.50% ลงมาอยู่ที่ระดับ 4.75% – 5.0% ในการประชุมล่าสุด ซึ่งถือเป็นการลดครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี ส่งผลให้กระทรวงการคลังของไทยออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของประเทศ
โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณานโยบายการเงินให้สอดคล้องกับประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ อย่างมาก
การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ มีผลกระทบโดยตรงต่อการไหลเข้าออกของเงินทุนในประเทศไทย โดยหากสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ในทางกลับกัน หากสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนจากต่างประเทศ
ผลประชุม Fed กับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและนักวิเคราะห์ทั่วโลก เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งการประชุมในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่น่าสนใจ รวมทั้งตัวชี้วัดที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วถึง 0.5% ของ Fed ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลอย่างมากต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจเข้าสู่ภาวะ Recession หลายฝ่ายมองว่าการที่ Fed ตัดสินใจลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเช่นนี้ อาจเป็นเพราะ Fed ตระหนักว่าได้ดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวนานเกินไป และเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
การประชุมครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่สะท้อนมุมมองของ Fed ต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ยังบ่งชี้ถึงนโยบายการเงินในอนาคตอันใกล้ ที่อาจมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ Recession
ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยหลัง Fed ลดดอกเบี้ย
การที่ Fed ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน ทั้งในแง่ของอัตราแลกเปลี่ยน การลงทุนจากต่างประเทศ และความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยในตลาดโลก
โดยนายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ได้แสดงความเห็นว่า ผลการประชุมของ Fed ครั้งนี้มีนัยยะสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีแรงเทขายออกมาก่อนการประชุม Fed ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่า Fed อาจตัดสินใจผิดพลาดในการดำเนินนโยบายการเงิน
ความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง.
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส ระบุว่าการทยอยปรับลดดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นผลดีต่อการเรียกความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน แต่ในเชิงเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ กนง. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ที่ระดับ 0.25%
กระทรวงการคลังสนับสนุนเพิ่มกรอบเงินเฟ้อ
นอกจากประเด็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยแล้ว กระทรวงการคลังยังได้หยิบยกประเด็นเรื่องกรอบเงินเฟ้อขึ้นมาพิจารณาด้วย โดยมองว่าถึงเวลาแล้วที่ควรพิจารณาเพิ่มกรอบเงินเฟ้อเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงความจำเป็นในการพิจารณาปรับเพิ่มกรอบเงินเฟ้อ โดยชี้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และรัฐบาลได้ประกาศนโยบายที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชน
นอกจากนี้ แม้การฟื้นตัวของตลาดทุนและเศรษฐกิจโดยรวมเป็นสัญญาณที่ดี แต่การเติบโตยังคงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น การพิจารณาเพิ่มกรอบเงินเฟ้อจึงอาจเป็นหนึ่งในมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เร็วขึ้น
นายพิชัยได้อธิบายถึงผลกระทบของเงินเฟ้อต่อเศรษฐกิจในมุมมองที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของผู้ซื้อและผู้ขาย โดยชี้ว่าเงินเฟ้อในระดับต่ำอาจดูเหมือนเป็นผลดีสำหรับผู้บริโภคที่สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาถูก แต่ในมุมมองของผู้ผลิตและผู้ขาย เงินเฟ้อต่ำอาจส่งผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจ
หากผู้ผลิตประสบปัญหาจนต้องหยุดการผลิต อาจนำไปสู่ภาวะสินค้าขาดตลาด และในที่สุดผู้บริโภคก็จะต้องเผชิญกับปัญหาสินค้าราคาแพงได้เช่นกัน ดังนั้น การรักษาระดับเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาปรับเพิ่มกรอบเงินเฟ้อ กระทรวงการคลังเน้นย้ำว่าจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจโลก นโยบายของประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่แข่งทางเศรษฐกิจ
โดยการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องกรอบเงินเฟ้อได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีการสรุปผลและประกาศแนวทางที่ชัดเจนในช่วงปลายปี 2567
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, Morning Brief by FINNOMENA